เมื่อ เจมส์ บี. โดโนแวน (Tom Hanks) ทนายประกันคนหนึ่งที่ทำมาหากินด้านการว่าความและเป็นหุ้นในกิจการ กลับได้รับการทาบทามให้มาแก้ต่างแทน รูดอล์ฟ เอเบิล (Mark Rylance) สายลับโซเวียตที่เข้ามาสอดแนมในแดนมะกัน มันคือภารกิจที่ไม่มีใครอยากทำ และมีเพียงเขาเท่านั้นที่เลือกรับงานเช่นนี้ แม้จะต้องแลกมาด้วยความผาสุกของครอบครัวตัวเองก็ตาม เหตุผลอาจจะไม่ได้เพื่อชาติ เพราะเขาเชื่อว่ามนุษย์ทุกผู้ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะอยู่ในชาติใดก็ตาม
เขาเลือกว่าความแก้ต่างให้กับชายคนที่อเมริกันต่างเกลียดกันทั้งประเทศ
ผลงานระยะหลังๆ ของ Steven Spielberg นี่หวังขึ้นหิ้งอย่างเดียวเลยครับ ประมาณว่าทำหนังเอาใจผู้ชมเพื่อสะสมทรัพย์มาเยอะแล้ว พอตอนนี้เขาขึ้นแท่นเป็นตำนานและไม่ต้องสนเรื่องรายได้มากเท่าเมื่อก่อน ก็เลยขอเลือกทำหนังดีๆ ประดับวงการเป็นงานหลักซะเลย
เรื่องนี้ก็เอาเค้าโครงจากเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์มาบอกเล่า กับเรื่องของ เจมส์ บี. โดโนแวน (Tom Hanks) ทนายที่ถูกเลือกให้ดูแลคดีของ รูดอล์ฟ เอเบิล (Mark Rylance) ชายที่ถูกต้องสงสัยว่าเป็นสายลับจากโซเวียตที่ส่งข้อมูลลับของฝั่งอเมริกาไปยังบ้านเกิด
ซึ่งจริงๆ คดีนี้แทบไม่ต้องสืบล่ะครับ เพราะทางการอเมริกันฟันธงว่ารูดอล์ฟเป็นสายลับแน่นอน ดังนั้นการขึ้นศาลก็เป็นเพียงกระบวนการให้ครบพิธีเท่านั้น แต่ยังไงรูดอล์ฟก็จะต้องโทษสูงสุดอย่างแน่นอน นั่นทำให้เจมส์เองก็ไม่พอใจล่ะครับ เพราะเขากลายเป็นเหมือนหุ่นเชิดสำหรับคดีนี้เท่านั้นเอง
แต่แล้วหลายปีต่อมา มีเหตุว่านักบินชาวอเมริกันโดนจับได้ และนักบินคนนี้ก็อาจจะเป็นสายลับเช่นกัน และนั่นคือเหตุการณ์ที่นำมาสู่การเจรจาแลกตัวนักโทษ (หรือแลกตัวสายลับ) ระหว่างโซเวียตและอเมริกา โดยมีโดโนแวนเป็นผู้ดำเนินการเจรจาในครั้งนี้
ตัวหนังถือว่าไม่ผิดหวังครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงล้วนอยู่ในระดับมาตรฐาน เพียงแต่คนที่ไม่ชอบหนังที่มีแต่บทสนทนาก็อาจจะไม่ถูกลิ้นสักเท่าไร เพราะตลอด 2 ชั่วโมงกว่าๆ ล้วนเต็มไปด้วยบทสนทนาทั้งสิ้น
โดยส่วนตัวแล้วผมว่านังทำออกมาได้ดีครับ แต่ในแง่ความน่าติดตามอาจยังไม่เต็มที่ ส่วนหนึ่งเพราะการนำเสนอสไตล์ Spielberg ที่เล่าเรื่องสตอรี่บอร์ด เดินเรื่องแบบเรื่อยๆ ไม่ได้มีจุดเร่งเร้าหรือจุดเข้มข้นหนักๆ มาดึงความสนใจ ซึ่งในแง่หนึ่งก็คงเพราะเขาอยากรักษาเรื่องราวให้ใกล้เคียงกับบรรยากาศจริงๆ ในตอนนั้น เลยไม่ได้ใส่สีผสมอาหารลงมาสักเท่าไร แต่ก็อดคิดไม่ได้ล่ะครับว่าถ้าหนังเหยาะความลุ้นหรือขมวดปมบางปมให้มันดูตื่นเต้นขึ้นมาอีกสักนิด รสชาติหนังน่าจะอร่อยเต็มขั้นมากขึ้น
Hanks ลอยลำแล้วครับ เขาจะเล่นเป็นใคร ที่ไหน เมื่อไรก็เล่นได้หมด และเล่นได้ดีด้วย การแสดงออกทางอารมณ์และท่าทางล้วนเป็นธรรมชาติ แต่ถ้าถามทำไมถึงไม่ได้ชิงออสการ์กับเขาในปีนี้ ก็คงเพราะพี่แกแสดงได้ดีเป็นมาตรฐานมานานจนไม่ต้องเข้าชิงก็ได้แล้วล่ะครับ (ได้ไปตั้ง 2 ตัวแล้วนี่ 555)
บรรยากาศในหนังถือว่าให้อารมณ์ย้อนยุคไปสมัยสงครามเย็น สมัยที่แต่ละชาติก็คลางแคลงใจต่อกัน ยิ่งถ้าอยู่คนละขั้วทางการเมืองก็ยิ่งแล้วใหญ่ครับ เพียงแต่การโจมตีฝ่ายตรงข้ามในยุคนั้นจะไม่ใช่อาวุธกายภาพ แต่เป็นอาวุธทางการชวนเชื่อ, ค่านิยม หรือวิทยาการมากกว่า ซึ่งก็ถ่ายทอดออกมาได้ดีล่ะครับ เพียงแต่อาจยังไม่ถึงขั้นเด็ดมากๆ เท่านั้นเอง
อีกส่วนหนึ่งที่อาจจะพร่องคือเบื้องลึกเบื้องหลังของตัวละครที่อาจจะไม่ชัดเจน บางส่วนบางเสี้ยวก็ดูคลุมเครือ ไม่รู้ใครคิดอย่างไร เป็นแบบไหน ซึ่งความคลุมเครือที่ว่านี้หากมองในฐานะหนังช่วงสงครามเย็น ก็ไม่แปลกครับ เพราะยุคนั้นทุกคนล้วนรู้หน้าไม่รู้ใจ ยิ่งพวกเจ้าหน้าที่แล้วยากจะเดาได้ว่าความคิดของแต่ละคนเป็นอย่างไร ใฝ่ทางไหน
เช่น อยู่อเมริกาแต่อาจใฝ่คอมมิวนิสต์ ในขณะที่คนอยู่คอมมิวนิสต์ก็อาจใฝ่หาสันติก็ได้) ส่วนหนึ่งก็เพราะหนังอิงจากเหตุการณ์จริง เลยทำให้ยากจะใส่รายละเอียดของคาแรคเตอร์ให้ชัดเจนได้ ซึ่งถ้ามองในแง่ความสมจริงก็ถือว่าไม่เลวล่ะครับ แต่หากมองในแง่ความเป็นหนังแล้ว มันก็อาจทำให้เราขาดอารมณ์ร่วมไปในบางจังหวะ
แต่ก็ถือเป็นหนังคุณภาพที่ควรค่าแก่การรับชมครับ