ดูแล้วนึกถึงหนังแบบKilling Them Softly (2012) ซึ่งเป็นหนึ่งในภาพยนตร์อาชญากรรมที่เรารักมากๆ(แต่ก็ไม่ได้อยากแนะนำว่ามันคือที่สุดของทุกคน กระนั้น ใครยังไม่ได้ดูเราก็แนะนำให้ชมกัน มันเป็นหนังแก๊งสเตอร์ที่ไม่แก๊งสเตอร์พูดถึงโครงสร้างองค์กรมาเฟียนักฆ่าโจรแต่สิ่งที่โฟกัสจริงๆกลับเป็นบริบททางการเมือง ซึ่งเราชอบสุดๆ)ซึ่ง Cut Throat CIty ก็มาในทรงเดียวกัน คือมันว่าด้วยเรื่องของการปล้น ชีวิตแก๊งสเตอร์ แต่สิ่งที่โฟกัสจริงๆ กลับเป็นสภาพสังคม เป็นพื้นที่ และแวดล้อมที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตของเหล่าตัวละครตั้งแต่หลักยันรองซึ่งมีผลต่อเส้นทางชีวิตที่พวกเขาเลือกเดิน(หรือถูกบังคับให้ก้าวไป)
หนังเล่าเรื่องของเพื่อน4คนในเขตเก้านิวออร์ลีนส์ที่ชีวิตกลับตาลปัตรกลายมาเป็นโจรหลังเมืองโดนเฮอริเคนแคทรีนาถล่มพวกเขาใช้ชีวิตอยู่กับซากเมืองที่ไม่ได้รับการฟื้นฟูอยู่กับความฝันที่ไม่ได้รับการเติมเต็ม เป็นเมืองที่ผู้คนค่อยๆ ล้มตาย และสูญหายไปโดยไร้ซึ่งผู้รับผิดชอบ หนังเล่าถึงบริบทอย่างเป็นจริงเป็นจังเพื่อทำให้เราเข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงเข้าไปพัวพันกับวงจรอาชญากรรมที่มีแต่สูญเสีย มันไม่ใช่ตัวเลือกแรกที่พวกเขาสนใจ แต่เพราะชีวิตของพวกเขาไม่เหลือทางเลือกอะไรให้เดิน ตัวละครเอกอย่างบลิงก์เป็นนักวาดการ์ตูน โดยวาดฝันว่าผลงานของตัวเองจะได้รับการตีพิมพ์ และสามารถหารายได้มาเลี้ยงดูภรรยา และลูกได้ แต่มันก็ไม่ได้เป็นไปตามนั้น เขาถูกเลือกปฏิบัติ เฉกเช่นคนอื่นๆ ที่เหมือนไม่ได้รับอนุญาตให้ฝัน มันจึงไม่มีทางเลือกใดไปมากกว่าการพึ่งพามาเฟียท้องถิ่น ผู้ที่ช่วยเหลือเขามากกว่าที่รัฐดูแล (ในหนังเผยว่าพวกเขาไม่ได้รับเงินเยียวยา ไม่สามารถย้ายออกจากเขตได้)
ชอบที่ตัวละครในหนังตั้งคำถามกับการมีอยู่ของแคทรีนา พวกเขาคิดว่านี่อาจเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของรัฐที่ตั้งใจทำลายชุมชนพวกเขา มันไม่ได้ถูกพูดในฐานะ fact แต่มันเป็นความรู้สึกในแบบเดียวกับที่พวกเขารู้สึกก่อนจะมีพายุ คือชีวิตในเขตเก้าไม่ได้หายนะเพราะแคทรีนา มันหายนะก่อนจะมีแคทรีนามานานแล้ว เรารู้สึกว่ามุมนี้น่าสนใจมากๆ เพราะในขณะที่เขตอื่นๆ กำลังฟื้นฟูและได้รับการเยียวยาจากรัฐ เขตเก้ายังคงเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง และชีวิตของผู้คนที่ไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้ (โดยเฉพาะ Text ตอนจบที่หดหู่เหลือเกิน)
เราว่าปัญหาอย่างเดียวของหนังคืองานสร้างมันไม่คราฟท์เท่าไหร่ คืองานมันออกมาบีมากๆ จนเสียดายคอนเซ็ปต์ และประเด็นของเรื่อง เราเห็นสิ่งที่ RZA อยากนำเสนอ แต่ก็เต็มไปด้วยข้อจำกัด (อย่างการถ่ายทอดพื้นที่เมืองนี่ยากเลยในการเนรมิตเมืองที่เต็มไปด้วยซากต่างๆ หลังพายุ) ซึ่งหลายๆ ครั้งก็ฉุดความรู้สึกเราประมาณหนึ่ง โดยเฉพาะงานภาพ กระนั้นในส่วนของเรื่องเล่ามันก็น่าสนใจอยู่ดี ดูแล้วอยากกลับไปดู The Last Black Man in San Francisco (2019) อีกรอบ รู้สึกว่ามันพูดในเรื่องเดียวกัน คือว่าด้วยชุมชนคนดำที่ค่อยๆ ถูกรุกราน การตะเกียกตะกายอาศัยในเมืองที่ตัวเองไม่มีวันเป็นเจ้าของสิ่งใดได้แม้กระทั่งความฝัน
ใครสนใจสามารถดู Cut Throat City ได้ทาง TrueID ครับ เป็นหนังอาชญากรรมที่อาจจะไม่ได้ดีเด่อะไรมากแต่ก็พูดถึงประเด็นสังคม และพื้นที่ได้ดี หนังออกมาไม่กลมกล่อมนักแต่ก็ถือว่าเป็นโจทย์ที่ทำให้เราไปอ่านข้อมูลต่อยอดได้ในระดับหนึ่ง คือเรารู้จักเฮอริเคนแคทรีนา แต่ไม่ได้รู้เรื่องเขตเก้าอะไรเลย ซึ่งมันดูฉิบหายกว่าไอ้เฮอริเคนที่ฉิบหายที่สุดในประวัติศาสตร์เสียอีก อนึ่ง นอกเหนือจากเรื่องที่พูดมาแล้ว แคสต์สมทบในเรื่องนี้น่าประทับใจมาก ส่งเสริม และสร้างสีสันให้หนังได้ในระดับหนึ่งเลย