ออกตัวก่อนครับว่าชอบแจ็ค ไรอันมาก ดูหนังครบทุกภาค อ่านนิยายครบทุกเล่ม ซึ่งเรื่องราวของแจ็ค ไรอันนั้นมีเสน่ห์เฉพาะตัวนะครับ มันจะไม่เน้นแอ็กชันแบบเจมส์ บอนด์ แต่จะออกแนวกรองข่าว วิเคราะห์ข้อมูล ตีความการกระทำของบุคคลสำคัญในประเทศต่างๆ
อาทิเช่น หากประธานาธิบดีรัสเซียตัดสินใจบุกประเทศนี้ ในเวลานี้ แสดงว่าเขามีเจตนาอย่างนี้ (แน่นอนว่าถ้าต่างเวลาก็อาจมีเหตุผลต่างออกไป) หรือถ้าทางการจีนสั่งควบคุมมณฑลนั้น นั่นแสดงว่าเขากำลังจะทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเรื่องนั้น เนี่ยครับ งานแท้ๆ ของแจ็คคือการกรองข่าว ตีประเด็นเพื่อนำเอาข้อมูลสำคัญมาส่งต่อให้ท่านประธานาธิบดีและหน่วยปฏิบัติการต่างๆ ได้นำไปใช้ในการปกป้องประเทศต่อไป
ก่อนหน้านี้หนังทั้ง 4 ภาคก็มาในแนวนั้นเหมือนกันครับ ไม่เน้นบู๊แต่เน้นการวิเคราะห์ และส่วนใหญ่เรื่องมันก็จะเกี่ยวเนื่องไปถึงการเมือง การคอรัปชั่น การปกป้องผลประโยชน์ ฯลฯ เหล่านี้ทำให้รสชาติของหนังแจ็ค ไรอันไม่เหมือนหนังแอ็กชันสายลับทั่วๆ ไป
แต่พอดูภาคนี้ปุ๊บ ผมก็อุทานในใจเลยว่า “มันดูออกแนวบอนด์ๆ นะครัช”
หนังย้อนไปเล่าถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้แจ็ค ไรอัน (Chris Pine) เลือกที่จะทำงานรับใช้ชาติ (จุดนี้ขอชมว่าหนังใช้เหตุการณ์ 11 กันยายนมาผูกเรื่องได้อย่างพอเหมาะ) โดยการไปสมัครเป็นนาวิกโยธิน ก่อนเหตุการณ์จะพลิกผันให้เขาได้มาทำงานนั่งโต๊ะ เป็นสายให้กับ CIA ในการตรวจสอบธุรกรรมการเงินต่างๆ ของนักลงทุนต่างชาติ ถ้าใครมีแววผิดปกติก็ต้องรายงานเบื้องบน เพราะไม่แน่ว่าการลงทุนที่ผิดปกติ หรือการปกปิดข้อมูลของนักธุรกิจบางคนนั้น อาจมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่สำคัญซ่อนอยู่ก็ได้
โดยพล็อตตั้งต้นมันก็โอเคนะครับ แต่หลังจากช่วงต้นๆ มาหนังก็ออกแนวเจมส์ บอนด์ตามด้วย Mission: Impossible แล้วก็ปิดท้ายแบบหนัง The Peacemaker
หากจะว่ากันในฐานะหนังสักเรื่อง มันก็ออกมาดูเพลินไม่เลวล่ะครับ เพราะหนังสร้างแบบเพลย์เซฟ เอาจุดเวิร์กๆ ของหนังบอนด์และ M:I มาปรุงลงไปเป็นส่วนผสมหลัก ซึ่งหากคุณชอบหนังแนวสายลับผสมแอ็กชันและใช้สมองหน่อยๆ หนังเรื่องนี้ก็ถือว่าตอบโจทย์ให้คุณได้ เพียงแต่ความเด็ดมันยังไม่กลมกล่อมลงตัวเท่าหนังบอนด์เท่านั้นเอง
แต่หากมองในแง่หนังแจ็ค ไรอันแล้ว ยอมรับว่ายังไม่โดนใจนัก เพราะอย่างที่บอกครับว่าหนังฉบับนี้ออกแนวเน้นบู๊เน้นสายลับ แต่จุดขายจริงๆ ของหนังแจ็ค ไรอัน ต้องยกให้การใช้สมองวิเคราะห์สถานการณ์ ซึ่งอะไรแบบนั้นกว่าจะมีชัดๆ ก็ปาเข้าไปช่วงท้ายของเรื่อง แต่อย่างน้อยฉากที่ว่านั่นถือเป็นไฮไลท์หนึ่งของหนังเลยครับ เมื่อเราได้แจ็คสำแดงวิธีคิด วิเคราะห์ แยกแยะ เชื่อมโยง เพื่อไขปริศนาว่าผู้ร้ายมีแผนอะไร ตอนพี่แกสั่งการให้คนในหน่วยเช็คเบอร์โทรสิ เช็คเฟซบุ๊คอินสตาแกรมสิ มันดูเท่ห์ครับ มันได้อารมณ์ว่า “นี่แหละแจ็ค ไรอัน” เพราะพี่แกไม่ถนัดถือปืนไปเล่นกับใคร แต่ถนัดมองรายงาน มองภาพ มองข่าว แล้วแปลสถานการณ์ออกมาเป็นข้อมูลอันทรงคุณค่า (ที่บางทีก็ถึงขั้นพลิกชะตาประเทศได้เลย) เรียกว่านายคนนี้มีปัญญาเป็นอาวุธนั่นแหละครับ
จริงๆ ปมที่สะกิดใจแจ็คในตอนแรก จนทำให้เขาต้องรายงานไปยังเบื้องบน (ผมที่ว่าทำไมตัวร้ายต้องอุ้มเศรษฐกิจอเมริกันตลอด โดยเฉพาะในยามเกิดวิกฤตการณ์) มันเข้าท่านะครับ มันดูมีกลิ่นอายน่าอร่อยตามสไตล์แจ็ค ไรอัน เพราะมันเป็นปมที่มีประเด็นให้คิดตาม จนทำให้เราได้เห็นแจ็ค ไรอันที่ช่างคิดและชอบขุดไปเจอข้อมูลในมุมที่ชาวบ้านเขาไม่ค่อยมอง แต่ก็น่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วแผนของผู้ร้ายอย่าง วิกเตอร์ เชเรวิน (Kenneth Branagh) ก็หนีไม่พ้นสูตรเดิมๆ ของหนังสไตล์นี้
หนังมีช่วงลุ้นแบบเจ๋งๆ อยู่ 3 ช่วงครับ ช่วงแรกคือช่วงที่แจ็คต้องไปจารกรรมข้อมูล, ช่วงที่พี่แกออกคำสั่งให้ทุกคนช่วยกันค้นข้อมูลเพื่อตามล่าหาความจริงเกี่ยวกับแผนของเชเรวิน และอีกช่วงก็ตอนท้ายที่แผนของเชเรวินกำลังจะเป็นจริง ซึ่งลุ้นที่ว่านี่คือดูสนุก ดูตื่นเต้น แต่กระนั้นด้านบทก็อาจยังไม่ถึงเฉียบคมหรือสดใหม่สักเท่าไร
ดูจบแล้วไม่แปลกใจเลยครับว่าทำไมค่าย Paramount Pictures เจ้าของหนังถึงแทบไม่โฆษณาประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้เลย ทั้งที่ปกติแล้วหนังชุดแจ็ค ไรอันสมัยก่อนน่ะถือได้ว่าเชิดหน้าชูตาค่ายดาวภูเขานะครับ ทำออกมาทีไรต้องโปรโมตเต็มที่ (ไม่งั้นคงไม่มีมาก่อนตั้ง 4 ภาคหรอก) แต่กับฉบับนี้มันผันสภาพจากหนัง CIA นักวิเคราะห์+ทริลเลอร์การเมือง กลายเป็นหนังสายลับสไตล์บอนด์+อีธาน ฮันต์ไปมากกว่าถ้าดูเรื่องนี้สมัยก่อนสักสิบปีคงโอเคกว่านี้ครับ แต่นี่เราดันผ่านหนังบอนด์แบบ Casino Royale, หนังบอร์นแบบ The Bourne Supremacy และ Mission: Impossible – Ghost Protocol ดีกรีความตื่นตาของเราเลยลดลงไปตามส่วน
ยอมรับว่าไม่ผิดจากที่คาดเท่าไรครับ เพราะตอนดูตัวอย่างและการไม่ค่อยโปรโมตของ Paramount ก็ทำให้พอจะมองออกว่าหนังจะออกมาเป็นยังไงดนี้ความรับผิดชอบคงต้องกระจายกันไปครับ เริ่มจาก Adam Cozad มือเขียนบทที่แรกเริ่มเดิมทีบทที่เขาเขียนมานั้น ไม่ใช่บทหนังสำหรับแจ็ค ไรอันเลยครับ แต่เขาเขียนบทหนังชื่อ Moscow ขึ้นมา โดยจะมีเนื้อหาเป็นแนวแอ็กชันสายลับ และมีการวางตัวให้ Eric Bana มารับบทนำ แต่พอบทถึงมือ Paramount ทางนั้นก็ตัดสินใจว่าจะใช้บทอันนี้แหละ ดัดแปลงให้เป็นบทหนังเรื่องใหม่ของแจ็ค ไรอัน เลยไปตามตัว Cozad ให้มาแปลงบท ตามด้วยการเชิญ David Koepp มือเขียนบทที่คร่ำหวอด (มีผลงานอาทิ Mission: Impossible, Jurassic Park และ Spider-Man) ให้มาช่วยเกลาบทอีกทีหนึ่ง จนผลสุดท้ายก็ได้ออกมาเป็นบทหนังอย่างที่เห็นดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกครับ ที่ลีลาและสไตล์ของหนังเรื่องนี้จะห่างไกลจากหนังชุดแจ็ค ไรอันเรื่องอื่นๆ ขนาดนี้ เพราะตอนอื่นๆ ที่ผ่านมาอย่างน้อยหนังก็ดัดแปลงจากนิยาย ทำให้โครงเรื่อง รายละเอียด และบุคลิกแบบแจ็ค ไรอันจะยังคงอยู่ ส่วนกับเรื่องนี้ดัดแปลงเหมือนกัน ทว่าดัดแปลงจากอะไรที่ไม่ได้เกี่ยวกับแจ็ค ไรอัน และไม่ได้วางโครงโดย Tom Clancy เลย
อันที่จริงหากมองย้อนไป ค่าย Paramount คิดวางแผนจะทำภาคต่อของหนังชุดแจ็คไรอันตั้งแต่ตอนที่ The Sum of All Fears (ภาคที่ 4 ของหนังชุดนี้) ประสบความสำเร็จแล้วล่ะครับ แต่พอดีว่าช่วงจังหวะเวลาไม่เหมาะสักที(คนเขียนบทไม่ลงตัว ผู้กำกับไม่ลงล็อก)เพราะจริงๆ ช่วงปี 2008 Sam Raimi ก็มีข่าวว่าจะมากำกับหนังชุดนี้ต่อให้ แต่เพราะตอนนั้นพี่ท่านกำลังวุ่นๆ กับหนังชุด Spider-Man ก็เลยไม่ได้มาทำให้
ถัดมาในปี 2009 ทางค่ายดาวภูเขาก็เริ่มขยับตัวโดยวางแผนจะให้ Chris Pine มาแสดงเป็นแจ็ค ไรอัน และทางผู้สร้างก็ตั้งใจเลยว่าจะทำหนังภาคนี้โดยแต่งบทขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่นิยายเล่มใดๆ มาดัดแปลงทั้งสิ้น โดยบทฉบับแรกว่ากันว่าได้Hossein Amini(มือเขียนบทจาก The Wings of the Dove และล่าสุดก็มาเขียนบท 47 Ronin)มาร่างให้แต่สุดท้ายผู้สร้างก็ตัดสินใจไปหยิบบทหนังเรื่องMoscowของCozadมาแทน
ด้านผู้กำกับ รายแรกที่ผู้สร้างหมายตาคือJack Benderผู้กำกับที่คร่ำหวอดอยู่กับหนังทีวีมากว่า30ปีเคยกำกับซีรี่ส์ Lost และ Under the Dome ด้วย ส่วนงานหนังใหญ่เรื่องที่ดังที่สุดของเขาก็คือChild’s Play 3แต่ครั้นพอจะเริ่มถ่ายทำPineก็ดันติดคิวเล่นเป็นกัปตันเคิร์กในStar Trek into Darknessก่อนการถ่ายทำเลยเลื่อนไปพอPineว่างผู้กำกับBenderก็ดันไม่ว่างอีกทางผู้สร้างเลยรีบควานหาตัวผู้กำกับก็พอดีตอนนั้นKenneth Branagh กลับมาเป็นที่จับตาของวงการอีกครั้งหลังจากดังไปกับThorผู้สร้างเลยเรียกตัวBranaghให้มากำกับแบบด่วน เพราะโปรเจคท์นี้เนิ่นช้ามาหลายปีมากๆแล้วและนี่ล่ะครับคือผลลัพธ์ของหนังเรื่องนี้
จริงๆ ในแง่นักแสดงผมว่าโอเคนะ เสียแต่ว่าแต่ละบทยังไม่เด่น ไม่มีเอกลักษณ์พอให้จดจำ อย่าง Pine ที่แม้จะไม่ใช่ตัวเลือกที่โดนที่สุดสำหรับบทแจ็ค ไรอัน เพราะพี่แกดูเป็นขาลุยมากกว่าจะมานั่งวิเคราะห์และทำตามกติกา แต่ก็ถือว่ายังโอเคครับ ส่วนหนึ่งคงเพราะแจ็คในภาคนี้มันออกแนวสายลับลุยมากกว่าจะเป็น
CIA Analyst นั่นแหละ, Keira Knightley ในบทแคธี คนรักของแจ็ครายนี้ก็ดูออกแนวลุยเหมือนกันซึ่งเธอก็นับว่าโอเคกับบทสไตล์นี้ครับเพียงแต่ยังไม่เด่นอะไรมากส่วนKevin Costnerในบทโทมัสฮาร์เปอร์แม้จะดูมีบารมีพอตัว แต่ก็ไม่ค่อยเด่นเท่าไรอีกเหมือนกันกระทั่งตัวร้าย
ที่Branaghแสดงเองก็ยังดูไม่ร้ายและไม่คมเท่าที่ควรแต่ยอมรับครับว่าฉากในรถที่แกทำตัวโฉดๆนั่นถือว่าทำได้ดีทีเดียว
เอาเป็นว่าถ้าคุณชอบหนังสายลับผสมจารกรรมและแข่งกับเวลาในการแก้วิกฤติวินาศกรรมก็ลองชิมเรื่องนี้ได้ครับ ผมว่ามันก็โอเคนะแต่หากเป็นแฟนแจ็คไรอันหรือกระหายหนังที่พระเอกโชว์เหนือในการวิเคราะห์ข้อมูลล่ะก็แนะนำให้หานิยายมาอ่านหรือเอาหนังมาดูจะดีกว่า