ภาคแยกของ Ip Man นะครับ โดยจับเอาตัวละคร จงเทียนฉี (จางจิ้น) จากภาค 3 มาขยายเรื่องราว
หลังจากที่พ่ายแพ้ให้กับยิปมัน เขาก็ย้ายมาอยู่ที่ใหม่ครับ เขาพยายามใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือหญิงสาวที่โดนแก๊งอันธพาลรังแก และนั่นคือชนวนที่ทำให้เขาโดนพวกมันรังควานจนถึงขั้นเสียบ้านไป และเมื่อเขาโดนพวกมันไล่ต้อนจนถึงจุดที่สุดจะทน เขาเลยต้องใช้หมัดประจำกายไล่ซัดกับพวกมัน
จริงๆ ภาคนี้ดูฟอร์มแล้วก็น่าสนใจครับ ได้ หยวนหวู่ปิง มากำกับ และได้ดาราร่วมจออย่าง Dave Bautista, Michelle Yeoh รวมถึง พี่จา พนม ของเราด้วย และพล็อตหลักก็จัดว่าลงสูตรสำเร็จแบบที่ถ้าปรุงดีๆ แล้วหนังก็จะตอบโจทย์ความบันเทิงได้แบบสบายๆ
และผลลัพธ์ของหนังก็จัดว่าเรื่อยๆ ครับ ว่ากันตรงๆ ก็คือหนังเทียบกับ Ip Man ภาคหลักไม่ได้ ซึ่งการดูหนังเรื่องนี้ทำให้ผมตระหนักถึงความแข็งแรงของหนังชุด Ip Man นะ จุดแข็งของ Ip Man นั้นมีอยู่เยอะ ตั้งแต่คิวบู๊มันส์ๆ โดยเฉพาะกระบวนท่าหมัดหย่งชุนที่ดูนุ่มนวลอ่อนช้อย แต่มีความหนักแน่นทรงพลัง ตามด้วยคาแรคเตอร์ของอาจารย์ยิปที่ดูเป็นพระเอ้ก พระเอก ทั้งสุขุม ถ่อมตน มีสติคุมสถานการณ์ต่างๆ ได้ ไม่ใช้อารมณ์ ฯลฯ ทำให้ตัวละครนี้ดึงดูดสายตาเราได้ตั้งแต่ต้นจนจบ และเรายังรู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปกับชะตาชีวิตของเขาอีกด้วย และที่ลืมไม่ได้คือปรัชญาการใช้ชีวิตของอาจารย์ยิปที่สามารถหยิบจับไปปรับใช้ในชีวิตของเราได้
ในขณะที่เรื่องนี้ คาแรคเตอร์ของจงเทียนฉียังไม่เด่นขนาดนั้นครับ ซึ่งจุดนี้สารภาพเลยว่าผมรู้สึกมาตั้งแต่ตอนดูภาค 3 แล้ว ว่าตัวละครนี้ดูเห็นแก่ตัว จองหอง ฉวยโอกาส ซึ่งจริงๆ หากคนทำตัดสินใจหักคาแรคเตอร์นี้ให้กลายเป็น “แอนตี้ฮีโร่” ไปเลยก็คงน่าสนใจน่ะครับ ประมาณว่าไม่พยายามหักเหให้เขาดูเป็นคนดี ให้เราเห็นเขาว่าเป็นคนที่นึกถึงตัวเองก่อนเป็นหลัก แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ชอบเห็นคนถูกรังแกด้วย ประเภทว่าเป็นคนที่ไม่แคร์ว่าตัวเองทำสิ่งดีหรือไม่ดี แค่ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ณ โมเมนต์นั้น ให้มันดูขัดๆ แย้งๆ กันมันก็ดูเป็นคาแรคเตอร์ที่น่าสนใจไปอีกแบบ (อาจทำให้เขาดูทรนง และมีเสน่ห์แบบแบดๆ ด้วย)
หรือไม่ถ้าจะให้สานต่อเรื่องจากภาค 3 แบบให้ดูมีอะไรสักหน่อย ก็ให้เป็นว่าพอเขาแพ้ยิปมันแล้ว ก็ให้ภาคนี้เล่าถึงจงเทียนฉีที่อยู่โหมดเรียนรู้ถึงปรัชญาหรือแก่นอันแท้จริงของศิลปะการป้องกันตัว ให้ตัวละครนี้ค่อยๆ Grow ขึ้น แม้จะไม่ถึงกับเป็นยิปมันคนใหม่ในทันที แต่ก็ให้เขาค่อยๆ เป็นทีละน้อย โดยใช้เหตุการณ์ในภาคนี้เป็นตัวขัดเกลา ให้เราเห็นพัฒนาการ แบบนี้ก็จะทำให้หนังดูมีอะไรมากขึ้นได้เหมือนกัน
แต่เท่าที่เป็นนี่คือ พอหนังเปิดมาเราก็จะได้เห็นจงเทียนฉีเป็นตัวละครที่ออกแนวดี และเป็นฝ่ายถูกกระทำ ว่าง่ายๆ คือเขากลายเป็นตัวละครพระเอกในหนังกังฟูหลายๆ เรื่องน่ะครับ นั่นทำให้ออกจะน่าเสียดายเหมือนกัน เพราะหากทีมงานจะเล่นเรื่องมิติเกี่ยวกับตัวละครนี้ ผมว่าทำได้นะ ยังเล่นอะไรได้อีกเยอะ และยังเป็นการขยายจักรวาลปรัชญาของศิลปะการต่อสู้ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นอีกด้วย
ในแง่การเล่าเรื่องก็เรื่อยๆ ครับ ไม่ถึงกับน่าติดตามมาก เนิื้อเรื่องพอจะเดาได้ไม่ยากว่ามันจะไปจบลงตรงไหน ส่วนเรื่องคิวบู๊ก็ถือว่าออกมากลางๆ อันนี้ยอมรับว่าแปลกใจตัวเองเหมือนกัน พยายามคิดอยู่ว่าเพราะอะไร และเหตุผลที่พอจะนึกออกก็คือ เผอิญว่านี่เป็นหนังชุดเดียวกับ Ip Man น่ะครับ มันเลยอดไม่ได้ที่จะเอาไปเปรียบ ซึ่งผมว่าหนัง Ip Man มีเอกลักษณ์สำคัญคือลีลาหย่งชุน ในขณะที่เรื่องนี้กว่าตัวเอกจะได้หย่งชุนแบบจริงๆ จังๆ ก็ปาไปตอนท้ายแล้ว ซึ่งในแง่พล็อตก็เข้าใจล่ะครับว่ามันมีเหตุผลที่เป็นแบบนั้น แต่นั่นก็พลอยทำให้หนังกลายเป็นหนังกังฟูทั่วๆ ไป ลีลาหมัดต่างๆ ไม่ได้พิเศษหรือชวนตื่นตา.. กลายเป็นว่าดูแล้วหัวคิดถึงแต่หย่งชุนกับยิปมันน่ะครับ
ถือเป็นหนังที่ผมอยากดูมากเรื่องหนึ่งครับ แต่พอได้ดูก็รู้สึกเฉย เฉยกับเนื้อเรื่อง เฉยกับตัวละคร เฉยกับคิวบู๊ (Ip Man 2 ภาคแรกบู๊มันส์กว่าจริงๆ ครับ) ซึ่งจริงๆ ในเรื่องนี้ไม่ต้องมาหย่งชุนใส่กันก็ได้นะครับ ขอแค่ออกแบบคิวบู๊ให้ดีๆ มีความสดใหม่หรืออะไรที่ตื่นตาบ้างก็น่าจะโอเค แต่เท่าที่เป็นนี่ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษครับ (สารภาพว่าฉากปีนป้ายสู้กันนั้นมันดูธรรมดา ไม่ได้ชวนลุ้นหรืิอตื่นเต้นอะไรสักเท่าไร)
ก็นั่นล่ะนะครับ ว่าไปตามที่คิด แต่อย่างไรแล้วหากท่านเป็นคนหนึ่งที่ได้ติดตามหนัง Ip Man มาตั้งแต่ภาคแรก ก็ไม่เลวที่จะลองเรื่องนี้ครับ เพียงแต่อาจต้องปรับลดความคาดหวังลงสักหน่อย
หรือหากใครที่ไม่ใคร่จะถูกจริตกับตัวละครจงเทียนฉี ก็อาจจะต้องล้างหัวสักหน่อย พยายามลืมสิ่งที่เขาเคยทำไว้ใน Ip Man 3 ไม่แน่ว่าคุณอาจจะรู้สึกดีกับหนังเรื่องนี้มากขึ้นก็ได้