ดูชื่อไทยก็รู้มาแต่ไกลว่าใครนำแสดงไปไม่ได้ นอกจากนาย Bruce Willis คนอึดตลอดกาล นี่ดีใจหน่อยนะครับที่ตอน The Sixth Sense ไม่มีใครอุตริไปตั้งชื่อว่าคนอึดผจญผี
หนังจับเอาพล็อตเดิมๆ แบบตำรวจที่มีอดีตเลวร้าย ไม่สามารถช่วยชีวิตคนบริสุทธิ์หรือเด็กให้พ้นจากภัยได้ ก็เลยมานั่งอกตรมอยู่ไปแบบซังกะตายไปวันๆ นายตำรวจคนนั้นคือ อาร์ต เจฟฟรี่ส์ (Willis)
แล้วหนังก็แนะนำ ไซม่อน ลินช์ (Miko Hughes) เด็กออทิสติกที่ไม่รับรู้โลกภายนอก ชอบทำอะไรซ้ำๆ และกลัวคนแปลกหน้าอย่างที่สุด เขาได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ที่ดีน่ะครับ แต่แล้วความสุขก็เป็นอันหมดสิ้นเพราะไซม่อนดันไปไขรหัสลับทางการที่ชื่อว่า “เมอร์คิวรี่” โดยบังเอิญ รหัสที่ว่านี่สร้างโดยคนระดับสูงอย่าง นายพลนิโคลัส คุโดรว์ (Alec Baldwin) ที่กำลังรับทรัพย์และชื่อเสียงอย่างมากจากการคิดค้นรหัสลับเมอร์คิวนี่ที่ว่ากันว่าทรงอานุภาพและไม่มีใครถอดได้
ทันทีที่คุโดรว์รู้ว่ามีคนแก้รหัสได้ นั่นหมายถึงทุกอย่างเป็นอันพังทลายไปจนสิ้น ดังนั้นทางเดียวที่จะรักษาเงินและเก้าอี้ของเขาได้คือต้องสังหารเด็กคนนั้นซะ
คุโดรว์ก็ส่งคนมาสังหารพ่อแม่ของไซม่อนจนตายเรียบ ส่วนไซม่อนรอดมาได้อย่างหวุดหวิดครับ พอดีที่ได้พบกับตำรวจนักสืบเจฟฟรี่ส์ ตอนแรกเขาก็ไม่รู้หรอกว่าเด็กคนนี้เป็นอะไร เอาแต่อาละวาดโวยวาย (เพราะอาการของไซม่อนคือจะกลัวคนแปลกหน้าอย่างรุนแรงครับ) ถามอะไรก็ไม่ตอบ ไม่สามารถให้เข้อมูลอะไรได้ เจฟฟรี่ส์เลยต้องกระเตงเด็กคนนี้ให้พ้นจากมือสังหารที่ถูกส่งมาพร้อมทั้งหาทางไขปริศนาตามล่าผู้บงการมาลงโทษให้จงได้
หนังก็สร้างจากนิยายขายดีของ Ryne Douglas Pearson ซึ่งยำผสมหลายแนวพอดูนะครับ ไหนจะตำรวจอมทุกข์ ตามด้วยการไขคดี ให้ตำรวจมาคู่กับเด็กต้องปกป้องเด็กและไขความลับระดับรัฐบาลอีก จะว่าเป็นสูตรสำเร็จแบบปลอดภัยไว้ก่อนก็ได้ครับ ยังไงก็ออกมาโอเคไม่แหย่เกหรอก แต่จะยอดเยี่ยมน่าดูจนจบหรือไม่อันนี้อยู่ที่รสมือของคนทำ ซึ่งผู้กำกับก็คือ Harold Becker ที่นักดูหนังอาจจะไม่คุ้นชื่อ แต่ถ้าพูดถึงหนังอย่าง Taps, Sea of Love, City Hall และ Domestic Disturbance ก็น่าจะพอคุ้นบ้างนะครับ (แต่เชื่อเหอะ หลายเจ้าไม่คุ้นเลยก็มี) เอาเป็นว่าพี่ท่านนี่ชอบจับหนังที่เน้นดราม่า เน้นพลังขับเคลื่อนของตัวละครเป็นสำคัญ ส่วนแอ็กชันจะแน่นหรือไม่ดูเหมือนแกจะไม่ใส่ใจเท่าไหร่
หนังเลยออกมาแบบไม่ได้แอ็กชันยิงกระจายจนหลายคนอาจเบื่อเอาได้ เพราะเดินเรื่องแบบเอื่อยพอควร
หนังยาวเกือบสองชั่วโมงแต่ชั่วโมงแรกทั้งหมดก็อุทิศให้กับการแนะนำให้คนดูรู้จักกับไซม่อน แล้วช่วงต่อมาก็เป็นตอนที่อาร์ตต้องทำความรู้จักกับไซม่อน ให้เขาไว้ใจให้ได้อีก กว่าแอ็กชันจะมีก็ปาเข้าไปครึ่งเรื่อง แล้วที่มีก็มีไม่เยอะแยะ แค่พอหอมปากหอมคอ การคลายปมก็ไม่ได้วับซ้อน ตอนจบผมเชื่อว่าท่านเดาไว้อย่างไรมันก็เป็นเช่นนั้นแล ไม่พลิกโผ
พูดเหมือนหนังเอื่อยจนไม่น่าดู แต่ผมกลับโอเคกับหนังเหมือนกัน
ครับ คอแอ็กชันผมไม่แนะนำให้ทัศนาหนังเรื่องนี้เท่าไหร่เพราะท่านคงเบื่อ ผมเองรอบแรกที่ดูก็อดเบื่อไม่ได้กับความเอื่อย แต่พอมีโอกาสดูอีกทีใคร่ครวญอีกรอบหนังกลับสอนอะไรบางอย่างให้ผมคิด
คำถามที่ผมลองตั้งเล่นๆ อยากให้ท่านคิดตามคือ สมมติว่าท่านเป็นอาร์ต หรือท่านต้องเจอกับเด็กออทิสติกกำลังตกระกำลำบากตรงหน้าท่านจะทำอย่างไร?
คิดดูว่าการติดต่อกับเด็กออทิสติกบางรายไม่ใช่ของง่าย เขาอาจวิ่งหนีท่าน โวยวายอาละวาด ไม่ใช่เพราะเด็กก้าวร้าวนิสัยไม่ดี แต่เพราะนั่นคืออาการผิดปกติชนิดหนึ่งของกลุ่มโรคนี้
ท่านจะอดทนให้ความช่วยเหลือเขาได้นานแค่ไหน