หลังดูจบ แล้วจะวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องนี้ พบเลยว่า ปัญหาหลักของการที่ผู้กำกับภาพหันมาเป็นผู้กำกับซะเองคือ เขาจะมัวแต่วุ่นวายกับการจะทำให้ภาพในหนังออกมาสวยที่สุด แล้วลืมให้ความสำคัญกับมิติตัวละคร บทภาพยนตร์ และการเดินเรื่อง เพราะในเวอร์ชั่น reboot ปี 2015 สอบตกหมดทุกวิชา ยกเว้น งานภาพ ที่สวยมากจนได้คะแนนเต็มเฉพาะวิชานี้ค่ะ
เรื่องนี้ตอนแรกโดยรวมให้ C+ ค่ะ แต่พอตัดความลำเอียงเรื่องชอบงานภาพสวยมากออกไป ก็ให้แค่ C ธรรมดาพอละกันค่ะ เพราะจะให้ภาพสวยเพียงอย่างเดียวมาทดแทนจุดด้อยมากมายย่อมทำไม่ได้
แล้วพอเรื่องนี้มีเรื่องให้เล่นกับงานภาพมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทะเล น้ำตก ซอกเขา แม่น้ำ ท้องฟ้า หน้าผา ภูเขา ป่าไม้ ภูเขาหิมะ ผู้กำกับยิ่งอดใจไม่ได้ไปกันใหญ่กับการวุ่นอยู่กับความพยายามในการเน้นจับภาพที่สวยที่สุด เฟ้นหาช็อตที่ถ่ายยากที่สุด
ดังนั้น ผลลัพธ์ที่ได้จึงเหมือนนั่งดูสารคดีธรรมชาติ National Geographic สลับกับ สารคดีกีฬาเอ็กซตรีม (แต่ไม่รู้สึกเสียดายค่าตั๋วหรือเสียดายเวลานะ เพราะอย่างไรก็ตาม หนังก็พาคนดูไปเที่ยวหลายประเทศมาก แล้วย้ำว่าภาพธรรมชาติในเรื่องสวยมากจริงๆ และฉากเอ็กซตรีมแต่ละฉากก็เจ๋งมากกกกกกกกกกก) เอาเป็นว่า เวอร์ชั่นนี้ งานภาพและฉากเอ็กซตรีมเป็นเพียงสองจุดขายเดียวเท่านั้นของหนัง อย่างที่ประกาศชัดเจนมาตั้งแต่ trailer หนังที่ปล่อยออกมาแล้วค่ะ
เอาเป็นว่า ถ้าอยากแค่ไปดูฉากวิวทิวทัศน์สวยๆหรือ/และฉากเอ็กซตรีมสนุกๆ เรื่องนี้ก็ไม่น่าพลาด ย้ำว่าฉากกีฬาเอ็กซตรีมนะคะ ไม่ใช่ฉากแอ็คชั่น เพราะเรื่องนี้แทบไม่มีฉากแอ็คชั่นไล่ล่า มีฉากยิงกันฉากเดียวตอนใกล้จบ แล้วก็ยิงกันแบบสาดกระสุนใส่กันแค่นั้น ไม่ได้มีการออกแบบฉากให้ซับซ้อนอะไร เน้นแค่จำนวนกระสุนที่ถูกรัวออกมากับเสียงยิงกันดังลั่นสนั่นโรงระหว่างฝ่ายตำรวจกับผู้ร้าย
พล็อตเรื่องคร่าวๆแบบสั้นสุดๆนะ ก็คือว่า พระเอกเป็น FBI แฝงตัวไปในกลุ่มโจรเพื่อจะจับกุม แต่ดันเกิดความผูกพันฉันเพื่อนกันขึ้น เลยเกิดอารมณ์แบบฉันทำร้ายเธอไม่ลง อะไรประมาณนี้ (แอบยิ้มกริ่มเล็กน้อย 555)
ไม่ค่อยได้ศึกษาข้อมูลภาคใหม่ก่อนไปดูมากนัก แต่หลังจากดูจบเลยเพิ่งรู้ว่า อ่อ หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนัง remake นะคะ แต่เป็นการ reboot เพราะ “ไส้ใน” ของตัวหนังไม่เหมือนเวอร์ชั่นเก่าเลย (รู้ช้ากว่าชาวบ้าน!!!)
บทภาพยนตร์พยายามจะทำให้หนังดูมี “อะไร”มากกว่าต้นฉบับปี 1991 แต่ความพยายามของหนังทำได้ไม่ถึงฝั่งฝัน เพราะบทภาพยนตร์ที่เขียนได้ไม่สนุกและการเดินเรื่องที่อืดอาด จึงกลายเป็นความพยายามที่ดูมากไปจนน่ารำคาญ และที่สำคัญ ดูไม่น่าเชื่อถือ หนังเลยไปได้ไม่สุด
โดยในเวอร์ชั่นนี้ กลุ่มโจรเปลี่ยนจากกลุ่มนักเซิร์ฟ ไปเป็นกลุ่มนักกีฬาเอ็กซตรีม คงเป็นเหตุผลเพื่อให้เอื้อต่อการมีฉากผาดโผนกันในภูมิทัศน์แบบสุดโต่งได้เยอะๆ สมใจผู้กำกับที่ใจวุ่นอยู่กับเรื่องการขายงานภาพอย่างเดียว
แล้วยังมีการเพิ่มอุดมการณ์ให้กลุ่มโจรเป็นการให้ทำไปเพื่อแสดงความเคารพต่อธรรมชาติ เป็นการ Give Back ให้แก่ธรรมชาติ หนังพยายามไปลากเรื่อง Osaki 8 มาอภิปรายขยายความกันให้ดูมี “อะไร” ให้ “มีเนื้อมีหนัง” ในตัวบทตัวเรื่อง
แต่เนื่องด้วยพฤติกรรมตัวละครกลุ่มโจรที่ดูขัดแย้งกับอุดมการณ์ตัวเอง เลยพาหนังเตลิดเปิดเปิงไปกันใหญ่ ทำให้พอคนดูคิดตามอุดมการณ์ของพวกเขาแล้วดูการกระทำของพวกเขา เหตุผลในการกระทำของพวกเขามันก็เลยดูขาดๆเกินๆ อีหลักอีเหลื่อ ไม่หนักแน่น ขัดหูขัดตาไปเสียหมด กลายเป็นกลุ่มโจรแนว “ไม่ทราบว่าต้องการอะไรจากสังคมค่ะ” ไปซะงั้น
ซึ่งตรงจุดนี้ ถ้าเป็นเวอร์ชั่นปี 1991 โจรก็มีอุดมการณ์เหมือนกันนะ แต่อุดมการณ์อันนั้นจะเข้าใจง่ายกว่ากันเยอะ คือพวกเขาต้องการแสดงความกบฏต่อกฎหมาย แสดงพฤติกรรมต่อต้านระบบของบ้านเมือง แล้วพฤติกรรมของโจรปี 1991 ก็น่าเชื่อถือว่า พวกเขาทำตามอุดมการณ์ที่พวกเขาเชื่อจริงๆ เพราะพวกเขาสร้างความวุ่นวายเดือดร้อนด้วยจุดประสงค์ว่าต้องการจะสร้างความเดือดร้อนวุ่นวายน่ะซิ!!! ตรงไปตรงมาชัดเจนดีค่ะ!!!
…..ต่างจากโจรปี 2015 ที่พฤติกรรมพาคนดูงง คือก็เหมือนพวกเขาจะทำตามอุดมการณ์รักษ์โลกอยู่นะ แต่พฤติกรรมส่วนที่พาชาวบ้านเดือดร้อนมันดูไม่สอดคล้องกับหัวใจสีเขียวของเหล่าโจร คนดูเลยจะอารมณ์แบบรำคาญพวกเมิง พวกเมิงจะเอายังไงกันแน่เนี่ย
อีกทั้งความผูกพันของคู่พระนาง ไม่ใช่ซิ ความผูกพันของพระเอกกะตัวร้าย มันไม่น่าเชื่อถือแบบเวอร์ชั่นเก่า เพราะในเวอร์ชั่นโลกสีเขียวของปีนี้ แม้จะมีข้อเท็จจริงว่า Bodhi (ตัวร้าย นักแสดงคนนี้มีส่วนคล้าย Gerrard Butler นะ คงเพราะหนวดเครา แต่ไม่ใช่นะ เขาคือ Édgar Ramírez) ช่วยชีวิต Utah (พระเอก Luke Bracey นักแสดงที่ถ้าหลับตาแล้วฟังแค่