เป็นหนังแนวทหารบุกช่วยตัวประกันอีกเรื่องที่เข้าฉายในบ้านเราในปีนี้ แต่มาคราวนี้ไม่ใช่เป็นหนัง ฮอลลีวู้ด เหมือนที่คุ้นๆกัน แต่มันเป็นหนัง ฝรั่งเศส ที่ดึงเอาดาราดังๆจาก ฮอลลีวู้ด ไปแสดงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทั้ง ไดแอน ครูเกอร์ และ ดีจิมอน ฮอนซู ซึ่งตัวหนังในความเห็นของผมเป็นอย่างไรไปอ่านเลยครับ
ที่ อัฟกานิสถาน ผู้สื่อข่าวสงคราม เอลซ่า คาซาโนว่า ถูกกลุ่มผู้ก่อการร้ายตาลีบันจับเป็นตัวประกัน เมื่อจวนเจียนถูกสังหาร หน่วยปฏิบัติการพิเศษหน่วยหนึ่งได้ถูกส่งไปช่วยชีวิตเธอ ในภูมิประเทศที่งดงามทว่าอันตรายที่สุดในโลก การไล่ล่าสุดระทึกได้เริ่มต้นขึ้นระหว่างกลุ่มโจรลักพาตัวที่ไม่มีทางปล่อย ให้เหยื่อหนีรอดไปได้ กับหน่วยทหารที่เสี่ยงชีวิตเพื่อเป้าหมายเดียว นั่นคือพานักข่าวสาวกลับบ้านอย่างปลอดภัย ผู้หญิงแกร่งและเก่งคนหนึ่งกับกลุ่มชายชาติทหารจำต้องเผชิญสถานการณ์สุด อันตรายร่วมกัน ซึ่งสถานการณ์นั้นผูกมัดเขาอย่างใกล้ชิด รุนแรง และสะเทือนอารมณ์ เข้าฉายวันที่ 15 มีนาเฉพาะ SFW ครับ
Special Forces หรือในชื่อภาษาฝรั่งเศสว่า Forces spéciales เป็นผลงานการกำกับของผู้กำกับชาวฝรั่งเศสอย่าง สเตฟาน ไรโบจาด ที่จะไม่แปลกถ้าหากหนังเรื่องนี้จะมีบางฉาก และ บางมุมกล้อง ที่ยังดูขัดหูขัดตา หรือ ตะกุกตะกัก ไปบ้าง เพราะว่านี้คือผลงานหนังใหญ่เรื่องแรกของเขา ที่ลงทุนเขียนบทเอง และ รับหน้าที่ กำกับเอง ด้วยเช่นกัน ซึ่งตัวหนังนั้นก็อย่าไปจำสลับกับ Act of Valor หนังแนวทหารบุกช่วยตัวประกันที่เพิ่งเข้าฉายไปเชียวหละ เพราะว่าคุณอาจจะได้หนังที่คุณภาพต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลยก็ว่าได้ เพราะถ้าเกิดให้เทียบกับ Act Of Valor นั้น Speacial Forces ถือว่าเป็นหนังฝรั่งเศสที่ค่อนข้างด้อยกว่าในทุกด้าน โดยเฉพาะสิ่งที่เห็นได้ชัด ที่ทำให้คุณภาพ และ ราคาของหนังเรื่องนี้ลดลงเลยคือด้านของ มุมกล้อง และ การถ่ายภาพ ในฉากต่างๆของหนังเรื่องนี้
ที่ดูแล้วมุมกล้องนั้นไม่ได้ต่างไปจาก ละครโทรทัศน์ หรือว่า หนังแผ่นราคาถูก เลยสักนิด จึงกำลังสงสัยว่า นี้หรอคือผู้กำกับที่เคยถ่ายทำสารคดีเล็กๆมาแล้ว แถมด้านของ บท และ เนื้อเรื่อง ของหนังก็ยังเป็น บทหนัง ที่เรียกได้ว่าสามารถเล่าเรื่องให้จบภายใน 5 นาทีก็ว่าได้ แต่หนังกลับเลือกที่จะทำเป็นยืดยาว โดยการใส่ อุปสรรค์ และ สิ่งต่างๆ เข้ามาในหนังอยู่เรื่อยๆ ซึ่งดูไปแล้วมันไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับตัวเนื้อเรื่องจริงๆเลยด้วยซ้ำ และแทนที่มันจะทำให้คนดูรู้สึกสนุกไปกับตัวหนัง มันกลับเป็นสิ่งที่ฆ่าตัวหนังเสียเอง โดยเฉพาะช่วง ครึ่งหลัง ของตัวหนังที่แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า ผู้กำกับ เริ่มเข้าสู่ทางตันแล้ว