Stargate (1994) แดเนี่ยล แจ็คสัน นักโปราณคดีหนุ่มผู้เชี่ยวชาญเรื่องอักษรภาพอียิปต์โบราณ ได้ตอบรับคำเชิญของหญิงชราลึกลับ ในการถอดรหัสอักษรภาพปริศนาที่ปรากฎอยู่บนสิ่งก่อสร้างโบราณซึ่งขุดค้นพบในอียิปต์ โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งที่เขากำลังจะค้นพบจะนำมาซึ่งการเดินทางข้ามจักรวาลผ่าน “สตาร์เกท” หรือประตูที่เชื่อมต่อระหว่างดวงดาว ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มนุษย์ต่างดาวทิ้งไว้บนโลกมนุษย์ในอดีตเมื่อหลายพันปีมาแล้ว โดยมีผู้พัน แจ็ค โอนีล เป็นผู้นำการสำรวจผ่านสตาร์เกท ไปยังดวงดาวอันไกลโพ้นที่มีพิกัดตั้งอยู่ในกาแล็คซี่กาเลี่ยม (kaliem galaxy การเดินทางครั้งนี้ คณะสำรวจได้พบกับชนพื้นเมืองซึ่งเป็นมนุษย์โลกจับมาใช้เป็นทาสแรงงาน ที่ถูกมนุษย์ต่างดาวซึ่งเปรียบเสมือน “รา” พระเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ การต่อสู้ของแจ็คสันและโอนีลเพื่อหาทางกลับโลก และปลดปล่อยเหล่ามนุษย์ที่ตกเป็นทาสของมนุษย์ต่างดาวจะสำเร็จหรือไม่
เรื่องราวเกี่ยวกับการค้นพบวงแหวนปริศนาขนาดใหญ่ของกลุ่มนักโบราณ ที่เมืองกิซ่า ประเทศอียิปต์เมื่อปี 1928 ซึ่ง ณ ขณะนั้น ยังไม่มีใครทราบว่าเจ้าวงแหวนปริศนานี้คืออะไร จนกระทั่งปัจจุบัน (ตามเวลาในเรื่อง น่าจะเป็นปี 1994) นักอียิปต์วิทยาที่ชื่อ Dr. Daniel Jackson (นำแสดงโดย James Spader) ได้เข้ามามีส่วนช่วยในการค้นคว้าหาปริศนาของวงแหวนนี้ จนกระทั่ง เขาสามารถถอดรหัสของวงแหวนนี้ได้ จึงทำให้ได้ทราบว่า วงแหวนปริศนานี้คือ ประตูสู่ดวงดาว ที่เชื่อกันว่า อาจจะเป็นสิ่งที่ไขปริศนาเกี่ยวกับจักรวาลที่มนุษย์เราเฝ้าเพียรค้นหาคำตอบมาตลอดได้
ต้องยอมรับเลยว่า ทีมงานสร้างสามารถเขียนเรื่องเชื่อมโยงระหว่างตำนานเทพของอียิปต์ให้เข้ากับ ธีม ของมนุษย์ต่างดาวได้อย่างน่าติดตามมาก
ในส่วนของการดำเนินเรื่อง แม้จะมีบางช่วงที่ดูเนือยๆ ไปบ้าง แต่โดยรวมถือว่าทำออกมาได้ดีมาก ดูได้สนุก ตื่นเต้น และเร้าใจดี ปมปริศนาต่างๆ ก็ไม่ได้ลึกมาก ดูแล้วเข้าใจได้ง่าย
เป็นภาพยนตร์ที่ดูสนุกและเพลินมาก ฉากแอ็คชั่นก็มันส์ดี น่าจะโดนใจคนที่ชื่นชอบเกี่ยวกับเรื่องของอวกาศ มนุษย์ต่างดาว และการไขปริศนาลับ (ที่แม้จะมีไม่เยอะ แต่ก็ทำออกมาได้โอเค) stargate พากย์ไทย
ซึ่งจากความตั้งใจเดิมที่ต้องการจะสร้างเป็นโปรเจคไตรภาค แต่หลังจากที่ Roland Emmerich มือขึ้น จากการที่ได้มีโอกาสไปทำเรื่อง ID4 จนดังเป็นพลุแตก จึงทำให้ไม่มีเวลากลับมาสานต่องานภาคที่เหลือได้
ซึ่งทำให้ไอเดียภาคต่อนั้น จึงต้องกลายมาเป็นโปรเจคทีวีซีรีส์แทนถึง 3 เรื่อง และสร้างเป็นเวอร์ชั่น Home Video อีก 2 ภาค ดังนี้
– SG-1 (1997-2008) – เป็นภาคต่อของภาพยนตร์เรื่อง สตาร์เกท โดยตรง ทำออกมาทั้งหมด 10 Season (ถือว่ายาวนานมาก) เป็นซีรีส์ที่ทำออกมาได้สนุกมากๆ อาจจะดีกว่างานภาคหลักด้วยซ้ำ
– Atlantis (2004-2009) – เป็นภาค Spin-Off ของ SG-1 ที่ดำเนินเรื่องด้วยตัวละครทีมอื่น (Season 1-3 จะดำเนินเรื่องคู่ไปกับ SG-1 Season 8-10 และบ่อยครั้งที่ตัวละครจากทั้ง 2 เรื่องจะมา Crossover กัน) ซีรีส์ชุดนี้ทำออกมาทั้งหมด 5 Season (ภาคนี้มี Jason Momoa สมัยยังวัยรุ่นอยู่เล่นด้วยนะฮะ
– Universe (2009-2011) – เป็นเรื่องราวของตัวละครทีมอื่นที่ทำภารกิจอยู่บนฐานทัพลับในอวกาศที่ชื่อ Ikarus (เรื่องราวดำเนินคู่ไปกับ SG-1 และ Atlantis) ทำออกมาทั้งหมด 2 Season แล้วโดนตัดจบ อันเนื่องมาจากกระแสตอบรับที่ไม่ดีนัก (จากเดิมที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำออกมาทั้งหมด 5 Season) stargate (1994) เต็มเรื่อง
และหลังจากที่ผ่านไปนานถึง 15 ปี ในปี 2018 ก็ได้มีการหยิบเอา Stargate กลับมาสร้างอีกครั้งในรูปแบบของ Miniseries จำนวน 10 ตอน โดยใช้ชื่อเรื่องว่า Stargate Origins ซึ่งจะเป็นการเล่าย้อนกลับไปในช่วงปี 1938 ที่ได้มีการขุดค้นพบ Stargate เป็นครั้งแรก โดยตัวซีรีส์จะมาในแนวทางผจญภัยค้นหาปริศนาของ Stargate ซะมากกว่าที่จะเป็นแนว Action Sci-Fi เหมือนที่ผ่านมา (ให้อารมณ์คล้ายๆ กับหนังตระกูล Indiana Jones เหมือนกันนะฮะ)
จุดสำคัญประการแรกคือเป็นหนังทุน $55 ล้านที่ดันทำเงินหักปากกานักวิจารณ์ที่ตราหน้าไว้ว่าหนังไม่มีอะไรนอกจากทะเลทรายแล้วก็ฉากสู้ที่ธรรมดาสามัญ การจะทำเงินคุ้มทุนคงเป็นไปได้ยาก แต่ที่ไหนได้ครับหนังรับทรัพย์เฉพาะในอเมริกาปาเข้าไป $71 ล้าน ถ้านับรวมทั่วโลกก็โกยไป $200 ล้านหย่อนไปไม่เท่าไหร่ ทำเอาชื่อผู้กำกับ Roland Emmerich และคู่หูผู้อำนวยการสร้าง Dean Devlin ร้อนฉ่าทันที แล้วก็เป็นโอกาสที่ส่งให้พวกพี่แกได้ทำ Independence Day ในกาลต่อมา
หากมุมในมุมนักวิจารณ์ก็พอเข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไมถึงไม่ใคร่จะปลื้มหนังเรื่องนี้นัก ก็ถ้าตัดฉากบู๊ออกไปหนังแทบจะไม่มีอะไรเลยนอกจากเรื่องที่ผูกไว้หลวมๆ พล็อตก็งั้นๆ ยังกับหนังเกรดบีแต่ดูดีหน่อยที่มีคนเล่นเยอะแล้วก็ได้ดารามีอันดับมาช่วยแสดงนำ หรือแม้แต่ฉากบู๊เองก็ไม่ได้แปลกใหม่อะไร แค่เอาปืนมาไล่ยิง เลเซอร์โฉบหน้ากันเฟี้ยวฟ้าวเท่านั้น
แต่ถ้าถามว่าทำไมคนดูถึงเข้าไปดูกันเยอะก็ตอบได้ง่ายๆ เลยว่าตอนนั้นหนังโม้ออกอวกาศที่ถึงใจพระเดชพระคุณนั้นมันไม่ค่อยมี มิหนำซ้ำตัวอย่างยังตัดออกมาได้สนุกสนานเต็มที่ อีกทั้งหากคนดูไม่หวังอะไรมากไปกว่าการผจญภัยแล้วก็เอาปืนมารบกัน ก็ได้ไปสมประสงค์ แม้จะไม่ได้ใหม่สุดยอด แต่ก็ถือว่ามาเหมาะในจังหวะที่ฮอลลีวู้ดกำลังขาดแคลนอยู่พอดี
เป็นเรื่องปกติครับ หนังที่ไม่ได้โดดเด่นสุดยอด แต่ทำออกมาดูเพลินสะใจก็โกยเงินให้เห็นไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่
ส่วนผมก็ก้ำกึ่งครับ ไม่ถึงกังชอบมากมาย แต่ดูได้เพลินๆ สนุกตอบโจทย์ความบันเทิงได้ดี
ด้านแอ็กชันก็พอเพลินๆ ไม่ได้น่าติดใจ แต่ผมกลับชอบการผูกเรื่องมากกว่าที่โม้ได้ที่เหมาะกับหนังแนวไซไฟ เอาตำนานอียิปต์มาผสมกับนิยายวิทยาศาสตร์ ที่เราชอบมีคำถามกันอยู่เสมอว่าตกลงพีระมิดที่ยิ่งใหญ่อลังการจนคนไม่น่าทำขึ้นมาได้นั้น อาจสร้างขึ้นโดยมนุษย์ต่างดาวก็ได้
Emmerich ก็เลยเริ่มคิดโปรเจคท์นี้มาตั้งแต่ปี 1979 ระหว่างยังเป็นนักศึกษาอยู่ ผูกเรื่องเป็นตุเป็นตะเกี่ยวกับพีระมิดและมนุษย์ต่างดาวว่ามันจะไปเกี่ยวกันได้อย่างไรบ้าง แล้วก็พักไว้ เพราะยังบ่มเพาะไม่ได้ที่ รอจนมีโอกาสเจอกับ Devlin ที่ร่วมแสดงใน Moon 44 ผลงานการกำกับเรื่องแรกๆ ของ Emmerich พอสองคนเจอกันคุยถูกคอก็เลยร่วมกันสร้างหนังแอ็กชันอย่าง Universal Soldier แล้วก็คิดบทผูกเรื่อง รวมทั้งหาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของอียิปต์จนได้มาปเน Stargate นี่แหละ
หนังเปิดมาก็ย้อนเหตุการณ์ไปที่เมืองกิซา ประเทศอียิปต์ ปี 1928 ที่นักโบราณคดีขุดพบซากวงแหวนปริศนาเข้า ไม่มีใครรู้ว่ามันมีไว้ทำอะไร จนกระทั่งปัจจุบัน ที่ทางการเกิดค้นคว้าจนได้เรื่องคืบหน้าไปมาก แล้วก็ตามเอานักอียิปต์วิทยาที่ชื่อแดเนี่ยล แจ็คสัน (James Spader) ให้ช่วยมาแปลภาษาเฮียโรกริฟิก ผลที่ได้คือทราบว่าเจ้าวงแหวนนี้คือประตูสู่ดวงดาว ที่อาจจะไขปริศนาว่าใครคือผู้สร้างพีระมิด แดเนี่ยลกับ ผู้การโจนาธาน โอ’ นีล (Kurt Russell) หัวหน้าฝ่านทหารที่จะพาเอากำลังทหารจำนวนหนึ่งผ่านประตูเข้าไปสำรวจด้วย
อาจจะเรียกได้ว่า Stargate (1994) คือหนังผจญภัย-ไซไฟฟอร์มยักษ์ที่ถูกลืมก็คงไม่ผิดนัก ทั้งที่ผลพวงของหนังเรื่องนี้แตกยอดออกไปประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง นั่นคือซีรีส์ชุด Stargete SG 1 และภาคแยกของซีรีส์ที่ตามมา ยังไม่นับรวมผลงานเรื่องถัดไปของคู่หูผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้าง โรแลนด์ เอมเมอริช และดีน เดฟลิน คือเรื่อง Independence Day (1996) ที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นในความสำเร็จของคนทั้งคู่ Stargate (1994) จึงกลายเป็นแค่เพียงทางผ่านในความสำเร็จที่ตามมานั่นเอง
ถ้าจะพูดถึง Stargate เพียงอย่างเดียวก็ยังนับว่าหนังไม่ได้เลวร้ายนัก ความยิ่งใหญ่ในด้านเนื้อหาและงานสร้างก็ยังนับได้ว่าอยู่ในระดับพอดี เพียงแต่ในบางส่วนของหนังยังไม่ค่อยกลมกล่อมเท่านั้นเอง บางทีอาจจะเป็นเรื่องเนื้อหาของ Stargate อยู่ในสเกลที่ใหญ่เกินไปรวมทั้งดูจะไม่น่าเชื่อในบางส่วนอีดต่างหาก ทั้งที่ในด้านความเชื่อเรื่องของอารยธรรมอียิปต์โบราณและทฤษฎีเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวมีมานานแล้ว กระนั้น Stargate กลับไม่สามารถใช้ประโยชน์จากความเชื่อนี้ได้มากพอ
ทางด้านนักแสดงก็น่าสนใจไม่น้อย สองนักแสดงนำคือ เคิร์ท รัสเซลล์ และเจมส์ สเปเดอร์ อาจจะไม่ค่อยมีประเด็นให้พูดถึงมากนัก คนแรกถนัดกับแนวทางแอ๊คชั่นแบบนี้อยู่แล้วส่วนคนที่สองคือนักแสดงฝีมือดีที่ไม่ยอมดังสักที ทำได้แค่เกือบดังแล้วก็เงียบไป
เป็นแบบนี้อยู่หลายครั้งขนาดมาแสดงเป็นตัวร้ายในหนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องดังยังแทบไม่มีใครจำเขาได้เลย แต่นักแสดงของ Stargate (1994) ที่น่าสนใจที่สุดคือ เจย์ เดวิดสัน ที่เคยสร้างความฮือฮามาแล้วจากการเข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขานักแสดงสมทบชายจากเรื่อง The Crying Game (1992) แล้วจึงได้มีโอกาสแสดงในหนังฟอร์มใหญ่อย่าง Stargate แต่แล้วทั้งสองเรื่องนี้คือการแสดงภาพยนตร์อย่างเป็นทางการของเขาเท่านั้นเอง
วันที่ออกฉาย : 28 ตุลาคม 2537 (อเมริกา)
ผู้กำกับ : โรลันท์ เอ็มเมอริช
บ็อกซ์ออฟฟิศ : 196.6 ล้าน USD
บริษัทที่ผลิต : เมโทร-โกลด์วิน-เมเยอร์, Canal+, Carolco Pictures, Centropolis Entertainment, สตูดิโอคาแนล
นักแสดงนำ : เคิร์ต รัสเซลล์; เจมส์ สเปเดอร์; เจย์ เดวิดสัน; วีเวกา ลินด์ฟอร์ส