ที่อเมริกานั้นเขาทำออกมาลง DVD โดยตรงไปเลย ไม่มีการเข้าโรงแต่อย่างใดครับ ก่อนดูก็พลางทำใจร่มๆ ไม่ไปคิดมากกับการสานต่อเรื่องราว ที่เดาๆ ว่ามันน่าจะออกแนว “ดันทุรัง” เป็นที่ตั้ง เพราะยิ่งทำก็ยิ่งพยายามยืดเรื่องครับ เหมือนพวกศุกร์ 13 หรือนิ้วเขมือบนั่นแหละ หาเรื่องให้ผีเป็นอมตะเข้าไว้แล้วก็ทำออกมาโกยเงินไปเรื่อยๆ
ภาคนี้เปลี่ยนคนกำกับครับ เป็น Toby Wilkins อดีตคนทำเอฟเฟกต์ที่ผันตัวมาเป็นผู้กำกับ ผลงานที่น่าพูดถึงของเขาก็ได้แก่หนังสยองทุนไม่สูงแต่ได้คำชมไปพอตัวเรื่อง Splinter แต่สาเหตุจริงๆ ที่ทำให้ทีมงานเลือกเขามาทำก็เพราะนายคนนี้เคยทำหนังสั้นออกมาเรื่องหนึ่งครับ ชื่อว่า Tales from the Grudge แค่ชื่อก็น่าจะรู้นะครับว่าเกี่ยวกับอะไร ซึ่ง Wilkins ทำออกมาโดยได้แรงบันดาลใจจากหนัง The Grudge ฉบับหนังใหญ่ของมะกันนั่นเอง ซึ่งผลที่ได้ออกมาก็ได้ใจทีมงาน โดยเฉพาะ Takashi Shimizu ผู้กำกับเจ้าตำรับแห่ง Ju-On ที่มองว่าผู้กำกับหนุ่มคนนี้น่าจะรับช่วงต่อทำ Ju-On ภาคมะกันจากเขาได้
จริงๆ แล้วตอนแรก คนกำกับก็ยังจะเป็น Shimizu นั่นแหละครับ แต่ไปๆ มาๆ เขาก็เกิดอิ่มตัวแล้วก็อยากนั่งเก้าอี้อำนวยการสร้างแทนแล้วก็อยากทำหนังเรื่องอื่นๆ ด้วย ก็เลยส่งไม้ให้ Wilkins กำกับต่อ ทำให้ The Grudge 3 กลายเป็นหนังในตระกูล Ju-on เรื่องแรก ที่ไม่ได้กำกับโดย Shimizu (ที่ผ่านมา 6 เรื่องนี่แกทำคนเดียวเลยครับ)
สำหรับเนื้อหาก็ต่อจากภาคก่อน กับการกลับมาของแม่ผีสาวจอมแค้น (และชอบคลานมาฆ่า) นามว่าคายาโกะ (เปลี่ยนคนแสดงใหม่เป็น Aiko Horiuchi หลังจากที่ตอนก่อนๆ บทนี้จะผูกขาดโดย Takako Fuji) กับลูกชายหน้าวอกที่ชื่อโทชิโอะ (นี่ก็เปลี่ยนคนเล่นครับ จาก Yuya Ozeki มาเป็น Shimba Tsuchiya) หลังจากตอนจบภาคที่แล้ว เราก็จะได้เห็นเป็นเลาๆ นะครับ ว่าวงจรสยองได้ทำการเปลี่ยนที่สิงสถิตย์ใหม่ จากบ้านสยองในญี่ปุ่น มาเป็นอพาร์ตเมนท์ในชิคาโก้แทน และคนที่รอดชีวิตจากคราวก่อนอย่าง เจค (Matthew Knight) ก็โดยคำสาปจนไปไม่รอดอีกราย
ข่าวการตายของเจคดังไปจนถึงญี่ปุ่นครับ ไปถึงหู นาโอโกะ (Emi Ikehata) น้องสาวแท้ๆ ของแม่ผีสาวคายาโกะ เธอจึงตัดสินใจเดินทางไปอพาร์ตเมนท์แห่งนั้น เพื่อช่วยเหลือคนที่ตกเป็นเหยื่อพี่สาวของเธอ ซึ่งเธอนั้นมาพร้อมวิธีการปราบคายาโกะครับ… แต่คุณลองเดาเล่นๆ สิครับว่ามันจะปราบได้จริงหรือเปล่าล่ะ
ถือเป็น The Grudge ที่มีรสชาติเปลี่ยนไปจริงๆ ครับ งานนี้ออกแนวอเมริกันของแท้ เพราะการฆ่าของคายาโกะนั้นออกแนวโหดกว่าเดิม เพราะของเก่านั้นจะแค่ให้เราเห็นคนโดนเธอไล่ตาม ก่อนจะจบแบบให้ไปคิดเอาเองว่าเธอปลิดชีพพวกเขาอย่างไร และส่วนใหญ่สภาพศพก็จะออกแนวตกใจช็อกตายซะล่ะมากกว่า (ยกเว้นบางรายที่โดนหนักแบบ ดึงกรามไปอะไรทำนองนั้นน่ะครับ อึ๊ย นึกถึงแล้วยังสยองอยู่ )
แต่กับฉบับนี้ เจ๊แกเล่นถึงเลือดหนักกว่าเดิมมากครับ ประเภทหักแขน หักคอ เลือดสาดกันไปเลย (สงสัยเจ๊แกจะไปเรียนรู้มาจากพวกพี่เจสันแล้วก็พี่เฟรดดี้นะเนี่ย) ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมว่ามันทำให้เอกลักษณ์ของคายาโกะหายไปเลยนะครับ คือมันไม่ใช่คำสาปสยองแบบเดิมๆ แต่กลายเป็นหนัง Slasher ไปเรียบร้อย
ดังนั้นก็ต้องลองตั้งคำถามกับตัวเองนะครับว่าชอบไหมเอ่ยกับ Ju-On กลิ่นเบอร์เกอร์แบบเต็มขั้น ส่วนคนที่ชอบแบบเก่าๆ (อย่างผมเนี่ย ชอบครับ แบบญี่ปุ่นๆ มันสยองหลอนๆ ดี) ก็คงต้องทำใจสักนิด เพราะคนทำก็ไม่ใช่ญี่ปุ่นน่ะครับ สไตล์ก็ต้องออกมาคนละแนวทางกันอยู่แล้ว เมืองมะกันน่ะชอบโหดๆ เลือดๆ ก็เลยต้องใส่เลือดๆ ลงไปตามกระแสความนิยม