ในยุคสมัยที่อารยธรรมกรีกยังรุ่งเรือง เฮอร์คิวลิส (เคลแลน ลุตซ์) เจ้าชายหนุ่มรูปงามใช้ชีวิตโดยไม่รู้ว่าบิดาที่แท้จริงของเขาคือใคร เขามีความต้องการในชีวิตเพียงอย่างเดียว นั่นคือการครองรักกับ ฮีบี (ไกอา วีสส์) เจ้าหญิงแห่งเกาะครีต ที่กำลังถูกจับให้แต่งงานกับพี่ชายของเขาเพื่อขยายอำนาจปกครอง แต่หลังจากที่ เฮอร์คิวลิส ได้รับรู้ถึงต้นกำเนิดที่แท้จริงของตัวเอง และเป้าหมายที่สำคัญยิ่งกว่าความรัก เขาต้องเลือกที่จะเดินตามพรมลิขิต ซึ่งก็ให้เขากลายเป็นวีรบุรุษที่มีชื่อเสียงที่สุดในตำนานเทพเจ้ากรีก
รีวิว The Legend of Hercules โคตรคน พลังเทพ ในปีนี้เราจะได้เห็น เฮอร์คิวลีส จากหนังฟอร์มยักษ์ทั้ง 2 เรื่อง และเรื่องแรกที่ชิงเข้าฉายก่อนนั้นคือ The Legend of Hercules ที่นำแสดงโดย เคลแลน ลัตซ์ โดยหนังใช้ทุนสร้างไปทั้งหมดเกือบ 80 ล้านเหรียญพร้อมเล่าเรื่องตั้งแต่ เฮอร์คิวลีส ถือกำเนิดขึ้นมา
ในยุคสมัยที่อารยธรรมกรีกยังรุ่งเรือง เฮอร์คิวลิส (เคลแลน ลัตซ์) เจ้าชายหนุ่มรูปงามใช้ชีวิตโดยไม่รู้ว่าบิดาที่แท้จริงของเขาคือใคร เขามีความต้องการในชีวิตเพียงอย่างเดียว นั่นคือการครองรักกับ ฮีบี เจ้าหญิงแห่งเกาะครีต ที่กำลังถูกจับให้แต่งงานกับพี่ชายของเขาเพื่อขยายอำนาจปกครอง แต่หลังจากที่ เฮอร์คิวลิส ได้รับรู้ถึงต้นกำเนิดที่แท้จริงของตัวเอง และเป้าหมายที่สำคัญยิ่งกว่าความรัก เขาต้องเลือกที่จะเดินตามพรมลิขิต ซึ่งก็ให้เขากลายเป็นวีรบุรุษที่มีชื่อเสียงที่สุดในตำนานเทพเจ้ากรีก
หนังกำกับการแสดงโดย เรนนี่ ฮาร์ลิน จาก Die Hard 2 ที่ในเรื่องนี้จัดได้ว่าเป็นหนังสเกลใหญ่เรื่องแรกของเขา ด้วยทุนสร้างและตำนานมหากาฬของชายหนุ่ม เฮอร์คิวลีส ที่หยิบยกมา ซึ่งนอกจาก เคลแลน ลัตซ์ หนังยังมี นักบู๊หนุ่มอย่าง สก๊อตต์ แอ็ดกิส มาร่วมแจมอีกด้วย ซึ่งถ้าหากถามว่าเรารู้จัก เฮอร์คิวลีส ในรูปแบบไหน หลายคนคงจำภาพชายหนุ่มจอมพลัง ที่มีสายฟ้าเป็นอาวุธได้อย่างดีทั้งจากการ์ตูนของ ดิสนี่ย์ และหนังฉบับก่อนๆ แต่ในเรื่องนี้จะพาไปทำความรู้จักตั้งแต่เฮอร์คิวลีสเป็นวัยเยาว์ ก่อนที่เขาจะมารับพลังเทพเจ้าอันยิ่งใหญ่นี้
ซึ่งก็ตามฟอร์มของหนังฮอลลีวู้ด กับการหยิบยกเอาตำนานมหากาฬขนาดนี้มา แล้วมีเวลาจำกัดในการเล่าแค่ 99 นาทีของหนังเรื่องนี้ จึงทำให้ลดทอนความน่าเชื่อถือ และ ความเข้มข้นลงไปพอสมควร โดยเฉพาะเรื่องราวของการชิงรักหักเหลี่ยมในบัลลังก์ ทั้งการทรยศ ความรัก และ ศักดิ์ศรี ที่ตัวหนังนั้นพยายามจะดันเรื่องพวกนี้ออกมาให้เต็มที่ แต่น่าเสียดายที่เวลามีจำกัดเลยทำให้เรื่องราวพวกนี้นั้นยังไม่สามารถถูกเล่าออกมาได้อย่างน่าพอใจนัก แถมหนำซ้ำตัวเรื่องของหนังยังพาคนดูเดินทางไปหลายแห่งจนเรียกได้ว่ายังไม่ทันได้ซึมซับกับบรรยากาศ หนังก็เปลี่ยนสถานที่ให้คนดูไปรู้จักที่ใหม่ๆเสียแล้ว