หนังที่ได้ยินได้ฟังมานานถึงความสุดยอดว่า ไม่จำเป็นต้องมีฉากแอคชั่น ไม่ต้องมีอะไรหวือหวา แค่ตัวละครไม่กี่ตัว สนทนากันหน้าเตาผิงไฟ แต่กลับสามารถสะกดคนดูเอาไว้ได้ตลอดเวลา และไม่มีช่วงไหนที่น่าเบื่อเลย หลังจากที่ดูจบยอมรับเลยว่าจริงตามนั้น หนังฉลาดหลักแหลมจริง ต้องชมคนเขียนบทเลยว่ากลบเกลื่อนช่องโหว่ได้ดีจริงๆ
จอห์น โอลแมน (David Lee Smith) อาจารย์มหาลัยที่ชีวิตกำลังรุ่งโรจน์สุดขีด แต่เจ้าตัวกลับเลือกที่จะหันหลังให้ความสำเร็จ ที่กำลังพุ่งชนด้วยการลาออกจากมหาลัย และกำลังจะย้ายไปอยู่ที่อื่น ในวันย้ายข้าวของออกจากบ้านพัก จอห์น ได้เชิญเพื่อนอาจารย์ในมหาลัยหลายคน มาที่บ้านเพื่อบอกลา ทุกคนต่างสงสัยว่าทำไม จอห์น ถึงเลือกทิ้งชีวิตที่กำลังประสบความสำเร็จไป ทุกคนจึงพยายามกดดันและคาดคั้น เอาคำตอบจากปากเขาให้ได้ แต่กลายเป็นว่า จอห์น ตัดสินใจที่จะบอกลาทุกคน ด้วยความจริงและตัวตนจริงของเขา
เพื่อนทุกคนกลับคิดว่า จอห์น กำลังเล่นตลกอะไรกับพวกเขาอยู่ เมื่อ จอห์น บอกว่าเขาเป็นมนุษย์ถ้ำที่อยู่มายาวนานถึง 14,000 ปีแล้ว ในทีแรกเพื่อนๆต่างคิดว่า จอห์น พูดเล่น แต่ยิ่งคุยกันไปเรื่อยๆคำพูดของ จอห์น กลับจริงจังมากขึ้นและที่ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาที่เป็นระดับศาสตราจารย์ ผู้เชี่ยวชาญในแขนงของตัวเอง กลับไม่สามารถโต้แย้งหรือหักล้างสิ่งที่ จอห์น เล่ามาได้เลย ทุกคนเลยชักไม่แน่ใจแล้วว่า…ตกลงแล้ว จอห์น โอลแมน คนนี้ตัวตนจริงคือใครกันแน่
สารภาพอย่างนึงนะว่า ก่อนดูในใจคิดปรามาสหนังเรื่องนี้ไว้พอสมควร ก็นะ…ด้วยแรงอวยที่เยอะจนต่อมอีโก้ทำงาน เลยคิดเอาว่ามันจะดีจริงหรอ มันจะสุดยอดตามที่เขาว่าจริงมั้ย ส่วนตัวแล้วหนังยอดเยี่ยมเลยนะ ในแง่มุมของตัวเองที่นำเสนอ คือแต่ละบทสนทนา แต่ละคำถาม ถึงเราจะพยายามหาข้อโต้แย้งก็จริง แต่เราก็ไม่สามารถแย้งได้เลย เพราะว่าเราเองก็ไม่รู้ว่า ที่เรารู้มันถูกมันจริงไหม หรือว่าคำถามที่ไม่มีคำตอบ หนังก็สามารถยกเหตุผล ในการหาคำตอบไม่ได้ มารองรับคำถามนั้นได้ดีด้วย คนดูอย่างเราเลยต้องจำนน ต่อบทหนังที่ฉลาดเรื่องนี้
พูดง่ายๆว่าที่คาดเดาไว้ ก็ตรงส่วนนึงแหละ เพราะก่อนดูก็คิดแย้งว่า หนังจะสามารถหาคำตอบให้ทุกอย่างในโลกนี้ได้ยังไง มันจึงกลายเป็นว่า หนังไม่ได้ให้คำตอบให้กับเราได้ทุกอย่าง แต่หนังฉลาดในการหาทางออก ให้คำถามที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ นั่นแหละที่ทำได้เยี่ยม หนังจึงมีน้ำหนักบทสนทนา ในเชิงปรัชญาเป็นส่วนมาก เพราะว่าเราเองไม่สามารถรู้ได้ว่า มันเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มี fact เลยนะ ถือว่าเยอะเลยล่ะ เพียงแต่มันเป็นความจริง ที่ถูกนำมาเชื่อมโยงกับเรื่องสมมุติในหนังเท่านั้นเอง แต่จะให้ยกตัวอย่าง ก็จะกลายเป็นสปอยไปซะอีก
ผมจึงยกให้สิ่งที่ฉลาดจริงๆในหนังเรื่องนี้ก็คือ “บท” ไม่ใช่ตัวละคร จอห์น ที่จะรู้ไปซะทุกเรื่อง เพราะสิ่งที่ทำให้หนังที่มีแต่การพูดคุยทั้งเรื่องนี้ ไปได้ตลอดรอดฝั่ง คือ บทสนทนาโต้แย้งที่ฉลาด การเลือกใช้คำที่แทบจะไม่มีช่องให้โต้แย้ง จังหวะการเล่าเรื่อง ที่มีทั้งจังหวะเร่งความเร็ว จนเราคิดโต้แย้งไม่ทัน และจังหวะผ่อน หยุดพักให้คนดูได้หายใจหายคอ ได้ทบทวนตกตะกอน กับคำถามที่ตัวละครสนทนากันในเรื่อง
หนังเรื่องนี้หากเป็นคนที่ชอบอะไรใหญ่โต อลังการงานสร้าง ระเบิดภูเขาเผากระท่อมคงจะไม่ถูกใจ แต่หากเป็นคนที่ชอบเสพอะไร ที่กระตุ่นต่อมความสนใจใคร่รู้แล้วล่ะก็ The Man from Earth (2007) เรื่องนี้น่าจะถูกใจแน่นอน
สรุปแล้ว The Man from Earth (2007) คนอมตะฝ่าหมื่นปี ถึงจะเป็นหนังที่มีแต่บทสนทนาก็จริง แต่ไม่มีช่วงไหนที่น่าเบื่อเลย ปรกติดูหนังอยู่บ้านต้องมีหยิบโทรศัพท์มากดบ้าง แต่กับหนังเรื่องนี้ลืมโทรศัพท์ไปเลยตื่นเต้นแล้วก็น่าติดตามจริงๆ ใครที่ยังไม่ได้ดูแนะนำเลยดีจริงสมคำร่ำลือ