ราวกับเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของ Netflix ที่ทุกปีเมื่ออย่างเข้าช่วงเทศกาลวันคริสมาสต์ จะต้องมีหนังแนวเจ้าชายเจ้าหญิงขึ้นสตรีมมิ่งกันเป็นพิธี โดยในปีนี้ภาคต่อของ The Princess Switch ก็กลับมาอีกครั้งเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมอีกครั้ง
หลังจากเหตุการณ์ในภาคแรกดูเหมือนจะจบลงด้วยดีเมื่อสเตซี่และมากาเร็ต (วาเนสซา ฮัดเจนส์) ต่างได้ครองรักกับชายที่ตัวเองอยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยตามธรรมเนียมหนังโรแมนติกคอมมาดี้ แต่ก่อนเรื่องราวในภาค Switched Again จะเริ่มต้นขึ้น หนังก็เกริ่นว่าแท้จริงแล้ว ดัชเชสมากาเร็ตกำลังจะต้องก้าวขึ้นไปรับตำแหน่งพระราชินีของประเทศมอนเตนาโร และการรับบัลลังก์ครั้งนี้ส่งผลให้เธอต้องยุติความสัมพันธ์กับเควิน (นิค ซาการ์)
เหตุการณ์ในภาคสองคือ สเตซี่มองว่าแท้ที่จริงแล้วความสุขที่สุดของมากาเร็ตคือการได้อยู่กับเควิน เธอจึงวางแผนให้ทั้งสองคนมีโอกาสได้เจอกันอีกครั้งและหนทางเดียวที่ มากาเร็ตจะได้รู้ว่าในใจลึกๆของเควินคิดยังไงกับตัวเอง คือการที่พวกเขาจะมีโอกาสได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มากที่สุด แต่เมื่อตารางออกงานของมากาเร็ตแน่นเอี้ยด เธอจึงต้องให้สเตซี่สลับตัวกับเธอเป็นการชั่วคราว
เรื่องวุ่นๆไม่ได้จบลงแค่นั้นเมื่อฟีโอน่า (วาเนสซา ฮัดเจนส์) น้องสาวที่เป็นญาติของมากาเร็ตซึ่งหน้าตาเหมือนกันราวกับโคลนนิ่งปรากฏตัวขึ้น ความวุ่นวายครั้งใหม่ก็บังเกิดอีกครั้ง เพราะฟีโอน่าวางแผนที่จะขโมยสมบัติของมากาเร็ตเอาไว้ในครอบครองแต่เพียงผู้เดียว เธอจึงวางแผนสลับตัวด้วยวิธีการลักพาตัวมากาเร็ตไปขังไว้จนกว่าจะถึงพิธีสถาปนาพระราชินีองค์ใหม่เพื่อครองบัลลังก์ แต่กลายเป็นว่าแผนลักพาตัวครั้งนี้ก็วุ่นวายเกินคาดเดาอีกเช่นกัน
เอาเข้าจริงจะดูหนังเรื่องนี้ให้สนุกคือต้องโยนตรรกะทุกอย่างกองทิ้งไว้ให้หมด เพราะตั้งแต่การที่ตัวละครหน้าเหมือนเป็นพิมพ์เดียวกันชนิดคนใกล้ตัวแยกไม่ออกนั้นก็ดูเหลือเชื่อและแปลกประหลาดจนน่าขนลุก ภาคนี้ยังทวีความสยองด้วยการเพิ่มคนหน้าเหมือนรายที่ 3 เข้ามา (นี่มันหนังโรแมนติกหรือกาเหว่าที่บางเพลง!) ยังไม่รวมถึงประเทศสมมติอย่างมอนเตนาโรก็ดูเป็นประเทศเล็กๆที่ดูไม่มีกิจกรรมเชิงการเมืองใดๆ ประหนึ่งประเทศเจนโนเวียแบบเดียวกับใน The Princess Diaries ที่เป็นประเทศเอาไว้เสวยสุขของชนชั้นกษัตริย์อย่างไรอย่างนั้น
The Princess Switch จึงเป็นภาพแฟนตาซีฝันเฟื่อง ปลอบประโลมใจที่วนเวียนอยู่กับเรื่องราวรักๆใคร่ๆของเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์กับสามัญชน ที่ดูเหมือนตำแหน่งหน้าที่ของเธอจะดูสำคัญมากกว่าความรัก ทั้งที่จริงแล้วหนังก็ไม่ได้นำเสนอความยากลำบากตรากตรำของพระราชกรณีกิจของมากาเร็ตสักเท่าไหร่เลยด้วยซ้ำ อันที่จริงถ้าตัวละครนี้เลือกจะสละราชบัลลังก์ตั้งแต่แรก ก็คงไม่มีภาคต่อแบบนี้ตามออกมาหรอกครับ