เริ่มตั้งแต่การกำกับภาพของ เอดูอาร์ด กราอู ผู้กำกับภาพเลือดสเปน ที่มีผลงานเจ๋ง ๆ อย่างการถ่ายภาพโคตรอึดอัดในหนังที่ ไรอัน เรโนลด์ ถูกฝังทั้งเป็นเรื่อง Buried (2010) และหนังสุดพิถีพิถันจากการกำกับเรื่องแรกของผู้กำกับ ทอม ฟอร์ด ใน A Single Man(2009) ด้วย นอกจากนี้หนังยังได้วงดูโอจากอังกฤษเจ้าของรางวัลแกรมมี่ อย่าง The Chemical Brothers มาทำดนตรีให้หนังเป็นครั้งแรกด้วย ว้าวเฮ้ย! ดูเริ่มมีของขึ้นมาเรื่อย ๆ แล้วสิ
แต่ถ้าพูดถึงตัวชูโรงของหนังตัวจริงเลย ก็ต้องเป็นการแสดงนำของไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ ที่มาเล่นเป็นลูกชายของเบรนแดนกลีสัน อีกครั้งหลังจากเพิ่งเป็นพ่อลูกกันสดๆ ในหนัง Assassins Creed (2016) นี่เอง ซึ่งน่าสนใจมาก เพราะเสียงวิจารณ์จากเทศกาลหนังโตรอนโตที่หนังไปเปิดตัว ถึงกับบอกว่า“นี่คือหนังที่ฟาสเบนเดอร์ ยกระดับการแสดงไปอีกขั้น”ฟาสเบนเดอร์เองก็ไม่ได้ไก่กานับเป็นนักแสดงมีฝีมือคนหนึ่งของวงการเคยเข้าชิงออสการ์จากการแสดงถึงสองครั้งด้วย เมื่อมาปะทะกับกลีสันผู้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำจากผลงานแสดงถึงสามครั้งก็เรียกว่ามวยถูกคู่ทีเดียว
หนังเล่าเรื่องของ แชด (ฟาสเบนเดอร์) ชายผู้เกิดมาในครอบครัวอาชญากร โดยได้รับการถ่ายทอดวิถีชีวิตมาจาก โคลบี้ (กลีสัน) พ่อของเขาเอง เช่นเดียวกับสมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัวโคลเตอร์ สำหรับ โคลบี้ แล้วมันคือประเพณีที่ต้องสืบทอดวิถีชีวิตและความเชื่อจากตนสู่ลูก จากลูกสู่หลาน เป็นทอด ๆ กันไปเช่นเดียวกับที่เขาสืบทอดวิถีโจรนี้มาจากปู่และพ่อ โคลบี้หวังว่าแชดเองก็จะสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าโจรและสอนให้หลานชายอย่าง ไทสัน (จอร์จี สมิธ) ต่อไปเช่นกัน แม้คนทั่วไปจะหัวเราะเยาะแต่ โคลบี้ก็เชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่ามันคือทางแห่งความรักและถูกต้อง เช่นเดียวกับที่เขามักเล่าเสมอว่าโลกนั้นแบน มนุษย์ไม่ได้วิวัฒนาการมาจากลิง และพระเยซูเองก็ถูกพวกตำรวจฆ่าตาย
แต่ในมุมมองของแชดเอง เขากลับไม่อยากให้ลูกชายของเขาต้องดำเนินชีวิตโจรตามแบบตนและพ่อของเขา ทั้งตัวเคลลี่ (ลินด์เซย์ มาร์แชล) ภรรยาผู้เป็นเหมือนแสงแห่งความดีในใจของแชด ก็เริ่มจะทนไม่ได้กับการอยู่ใต้คำสอนแบบผิด ๆ ของโคลบี้ รวมถึงสุนัขรับใช้ปัญญาอ่อนของโคลบี้ผู้สร้างความบรรลัยอยู่เสมออย่าง เบนเน็ต (ชอน แฮร์ริส) ด้วย ความขัดแย้งจึงได้เกิดขึ้น ซึ่งเป็นความขัดแย้งที่มีเหตุผลกันทั้งสองฝั่งระหว่างสายเลือดกับความถูกต้อง และความรักบริสุทธิ์ของพ่อกับความงมงายไร้เหตุผล เรียกว่าชงมาดราม่าครอบครัวหนักเลยทีเดียว
หนังโดดเด่นมาก ๆ กับงานภาพที่ตั้งใจถ่ายสวยหยด รวมถึงซาวด์ดนตรีประกอบที่ไม่ธรรมดาอย่างที่บอกไปแต่ต้นว่าซ่อนยอดฝีมือไว้ในนังแต่ที่ต้องชมเชยจริงๆคงเป็นการถ่ายทอดการแสดงของฟาสเบนเดอร์จากบทหนังที่ดีตามมาตรฐานหนังดราม่า ช่วยหนังให้น่าติดตามขึ้นเยอะมาก ข้อเสียของหนังคือมันเล่าแบบสไตล์อังกฤษจ๋าที่มักละเมียดมีกลิ่นช้าๆ เอื่อยๆ ไม่เร้ารัวแบบหนังฮอลลีวู้ดไคลแม็กซ์และจุดบีบคั้นต่างๆไม่ดราม่าหนักเอาเป็นเอาตายกับคนดู แม้แต่ตอนจบเองก็ยังเคลียร์ปัญหาต่างๆ ได้แบบเบาๆ ฟีลกู้ดเหลือเกิน แต่ถึงกระนั้นมันก็ดูสนุกมากเรื่องหนึ่ง คือไม่เบื่อเลยตั้งแต่ต้นจนจบฉากแอคชั่นไล่ล่าด้วยรถจริงๆแล้วถ้าเอาระเบิดตูมตามบ้าบอเกินจำเป็นมาใส่มันก็คือ Fast & Furious เวอร์ชั่นอังกฤษดีๆ นี่เองเลยครับ แถมพวกดราม่าบทสนทนาก็ทำให้ขบคิดตามตัวละครได้อินดี มันก็ลำบากใจจริงๆล่ะกับทางเลือกในชีวิตที่มีพ่อมาเกี่ยวข้องน่ะ