The Last of Us (2023) เล่าเรื่องราว 20 ปีหลังจากอารยธรรมสมัยใหม่ถูกทำลาย โจเอล (เพโดร ปาสคาล – Pedro Pascal) ผู้รอดชีวิตได้รับการว่าจ้างให้พาตัวเอลลี (เบลลา แรมซีย์ – Bella Ramsey) เด็กหญิงอายุ 14 ปี ออกจากเขตกักกัน ภารกิจเล็ก ๆ กลับกลายเป็นการเดินทางที่โหดร้ายและน่าสลดในไม่ช้า เมื่อทั้งคู่ต้องเดินทางข้ามสหรัฐอเมริกาและช่วยเหลือกันเพื่อความอยู่รอด…
ในวงการเกมนั้น ‘The Last of Us’ เป็นเกมแอ็กชันที่มีการดำเนินเรื่องอันยอดเยี่ยมอย่างไม่มีที่ต้องสงสัย ผลงานของค่าย Naughty Dog เกมนี้ได้พิสูจน์ตัวเองด้วยรางวัลอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะความยอดเยี่ยมของบทที่ส่งให้ผู้กำกับและคนเขียนบทของเกมอย่าง นีล ดรักแมนน์ (Neil Druckmann) กลายเป็นนักเล่าเรื่องที่ทุกคนต้องจับตามอง ไม่เฉพาะแค่วงการเกมแต่รวมถึงวงการภาพยนตร์เช่นกันเพราะสิ่งที่เขาสร้างในตัวเกมนั้น คือภาพยนตร์ชั้นดีเพียงแค่ผู้ชมเปลี่ยนจากผู้นั่งดูห่างๆ มาเป็นผู้ที่ต้องสวมบทบาทอย่างใกล้ชิดกับสถานการณ์
ซึ่งสิ่งที่ว่ามาคือความได้เปรียบในฐานะเกมที่มอบประสบการณ์ร่วมได้อย่างยิ่งยวด ผู้เล่นร่วมทุกข์ร่วมสุข มีผิดพลาด มีสำเร็จ ตายไปกับตัวละครและเริ่มต้นใหม่ด้วยกันนับครั้งไม่ถ้วน จนเสมือนเป็นเพื่อนเป็นตัวตนเดียวกันกับตัวละคร เมื่อมันถูกนำเสนอในรูปแบบซีรีส์ จึงไม่แปลกที่แฟนเกมจะรู้สึกเป็นห่วง เพราะที่ผ่านมาหนังหรือซีรีส์ที่ดัดแปลงจากเกม หากไม่ทำเป๊ะจนขาดศิลปะแบบภาพยนตร์ ก็หลบเลี่ยงมากไปจนกลายเป็นขาดความเคารพในต้นฉบับ การจะสร้างดุลยภาพระหว่างศิลปะคนละแขนงให้ออกมาดี จึงเป็นความท้าทายที่ยากเสมอมา
แต่ ‘The Last of Us’ ก็มีจุดแข็งที่ไม่เหมือนใครอยู่ เพราะดรักแมนน์ได้มาทำซีรีส์นี้ด้วยตนเอง แถมเขามีวิสัยทัศน์ของนักเล่าเรื่องที่ไม่ได้เชี่ยวชาญเฉพาะแขนง ฉากคัตซีนในเกมพิสูจน์ตัวเองหลายครั้งว่าคุณภาพยอดเยี่ยมทั้งมุมกล้องและความพอดีในการเล่า เมื่อมาจับคู่ควบคุมการผลิตกับ เคร็ก เมซิน (Craig Mazin) จากซีรีส์ ‘Chernobyl’ (2019) ที่พิสูจน์ตัวเองในสายดรามาธริลเลอร์มาแล้วเช่นกัน เหมือนว่ามันคือดุลยภาพระหว่างผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์คนละแขนงที่ต่างมองเห็นสิ่งเดียวกัน
และการเลือก เพโดร พาสคาล (Pedro Pascal) มารับบท โจเอล ในฉบับเกมหรือ โจล ในฉบับซีรีส์ กับ เบลลา แรมซีย์ (Bella Ramsey) มารับบท เอลลี ก็อาจเป็นความถูกต้องแรกที่ซีรีส์นี้ได้ขึ้นทรงของตนเอง พาสคาลเป็นนักแสดงที่มีความอบอุ่นและสายตาที่สะท้อนอดีตที่แหลกสลาย รวมถึงในยามที่ต้องดุดันสายตาเขาก็ช่างน่ากลัว มันคือโจลชายที่สูญเสียครอบครัวที่รักไปและต้องใช้ชีวิตต่อโดยไม่เชื่อในความหวังอะไรในโลกนี้อีกแล้วอย่างไร้ที่ติติง
จบไปแล้วสำหรับ The Last of Us ซีรี่ส์ความยาว 9 ตอนจาก HBO ที่ดัดแปลงมาจากหนึ่งในวิดีโอเกมที่ดีที่สุดตลอดกาล และได้เสียงตอบรับในแง่บวกอย่างมากมายตั้งแต่ตอนแรกที่ออกฉาย
ในฐานะแฟนเกมนี้ ที่ยกให้เป็น 1 ใน 3 เกมที่ชอบที่สุด ผู้เขียนคงสรุปแบบสั้นๆ ได้ว่า “ไม่ผิดหวัง” สำหรับเรื่องราว The Last of Us ในแบบฉบับคนแสดง
แม้ว่าโครงเรื่องหลักจะยกมาจากเนื้อเรื่องของเกมเกือบทั้งหมด แต่ในรายละเอียดปลีกย่อยนั้น ผู้สร้างได้ทำการเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร ทำให้ผู้ที่เคยเล่นเกมมาแล้วได้ดูเนื้อหาที่แตกต่างออกไปบ้าง ส่วนผู้ชมทั่วไปก็ยังสามารถรับรู้ได้ถึงเนื้อเรื่องหลัก ที่ทำให้เกมนี้ได่รับเสียงชื่นชมเป็นอย่างมาก จนถึงปัจจุบันก็ยังมีคนพูดถึงอยู่ แม้ว่าเกม The Last of Us เวอร์ชั่นแรกจะออกมาตั้งแต่ปี 2013 แล้วก็ตาม
ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน สื่อบันเทิงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องราวหลังวันสิ้นโลก (Apocalypse) โดยเฉพาะโลกที่เชื้อแพร่กระจายจนเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายซอมบี้ ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่เลย การจะทำเนื้อเรื่องให้ออกมาถูกใจผู้ชมนั้น ต้องมีความโดดเด่นอย่างมาก
โดย The Last of Us ได้เล่าถึงโลกที่มนุษย์ถูกเชื้อรากลายพันธ์เข้าเล่นงาน ทำให้ความรู้สึกนึกคิดหายไป เหลือเพียงร่างไร้วิญญาณ ที่มีชีวิตเพื่อไล่กัดมนุษย์คนอื่นและทำการแพร่พันธุ์ต่อไปเรื่อยๆ ส่วนผู้ที่เหลือรอดก็มีหลากหลาย ทั้งผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่ควบคุมโดยทหาร ผู้ที่จับกลุ่มรวมกับพลเรือนด้วยกัน ผู้ที่ต่อต้านการควบคุมของทหาร และผู้ที่อยู่อย่างสันโดษไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร
กลุ่มคนเหล่านี้นอกจากจะต้องต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดจากผู้ติดเชื้อ (Infected) แล้ว ยังต้องคอยระวังอันตรายจากมนุษย์ด้วยกันเอง ที่พร้อมจะแก่งแย่งเพื่อให้กลุ่มของตนเองมีชีวิตรอดต่อไป
ในตอนนั้น The Last of Us ประสบความสำเร็จอย่างมากในการสร้างโลกที่ “จริง” มากๆ ออกมา แสดงให้เห็นทั้งด้านดีและด้านมืดของมนุษย์ ตัวละครแต่ละตัวมีความซับซ้อนในตัวเอง ไม่มีใครที่เป็นคนดีหรือชั่วแบบ 100%
จุดเด่นอีกเรื่องคือพัฒนาการด้านความสัมพันธ์ของ 2 ตัวละครหลัก ทั้ง โจเอล รับบทโดย เปโดร ปาสคาล (Pedro Pascal) และ เอลลี่ รับบทโดย เบลลา แรมซีย์ (Bella Ramsey) ที่ตอนแรกดูจะไม่ค่อยถูกกัน แต่ต้องจับพลัดจับผลูมาเดินทางร่วมกัน
หลังจากที่ดูจบทั้ง 9 ตอนแล้ว ซีรี่ส์ The Last of Us สามารถนำพาข้อดีจากเวอร์ชั่นเกมมาได้แทบทั้งหมด ถ่ายทอดฉากสำคัญต่างๆ ได้ครบถ้วน อีกทั้งยังมีการเสริมเนื้อหาบางส่วนเข้าไปนอกเหนือจากเกม ซึ่งทำให้เราเข้าใจถึงเรื่องราวต่างๆ ได้มากขึ้น
การแสดงของ 2 นักแสดงหลักก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้ง เปโดร ปาสคาล และ เบลลา แรมซีย์ ต่างก็ถ่ายทอดความเป็นโจเอลและเอลลี่ในแบบตนเองได้อย่างไร้ที่ติ
ต้องบอกว่าส่วนที่ยากที่สุดในการเล่าเรื่อง The Last of Us คือการทำให้คนดูรู้สึกถึงความสัมพันธ์ของโจเอลและเอลลี่ ต่อให้ผู้สร้างจะทุ่มทุนมหาศาลไปกับฉากต่างๆ มากเท่าไหร่ แต่ภาพรวมจะออกมาดีไม่ได้เลย หากคนดูไม่รู้สึกถึงความสัมพันธ์ของ 2 ตัวละครนี้
The Last of Us เป็นซีรี่ส์ที่ได้เสียงตอบรับในแง่บวกอย่างมากตั้งแต่ EP แรกที่ออกฉาย ส่วนสำคัญคือการการเพิ่มบทของซาร่าห์ (ลูกสาวโจเอล) มากขึ้นจากต้นฉบับ และค่อยๆ บอกใบ้ถึงหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งจะแตกต่างจากในเกม ที่ทุกอย่างเกิดขึ้นแบบปุบปับ อยู่ดีๆ ก็มีผู้ติดเชื้อไล่กัดคนตามท้องถนนเลย
The Last of Us (2023) เต็มเรื่อง
เช่นเดียวกับเรื่องความรักของตัวละครชายรักชายอย่างบิลล์และแฟรงค์ ใน EP ที่ 3 ของซีรี่ส์ ที่เอาตัวประกอบในเกม ซึ่งไม่ได้มีบทเยอะเท่าไหร่มาเล่าเพิ่ม แสดงให้เห็นถึงความรักความอบอุ่นของคน 2 คน ภายหลังจากที่โลกล่มสลายไปแล้ว และเป็นการทำโดยที่ยังคงความเคารพต้นฉบับเดิมเอาไว้ได้
สำหรับส่วนเสริมที่ดีที่สุด คงต้องยกให้เป็น EP 9 ในฉากที่แม่ของเอลลี่ถูกผู้ติดเชื้อกัดในระหว่างคลอดลูก ก่อนที่เธอจะตัดสายสะดือออก เป็นการเฉลยที่มาที่ไป ว่าทำไมเอลลี่ถึงมีภูมิคุ้มกันจากเชื้อรา โดยส่วนนี้แม้แต่ผู้ที่เล่นเกมมาแล้วก็ยังไม่เคยทราบมาก่อน
อีกทั้งยังอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างมาร์ลีน ผู้นำกลุ่ม FireFlies กับเอลลี่ ซึ่งเป็นลูกสาวเพื่อนสนิท ฉายภาพว่าเธอต้องลำบากใจแค่ไหน ที่ต้องยอมอนุญาตให้แพทย์ผ่าสมองเอลลี่ในฉากจบของเรื่อง
การเล่าเรื่องเสริมนี้เองที่เป็นจุดเด่นมากๆ ของซีรี่ส์ The Last of Us ที่แม้จะยึดโครงเรื่องมาจากเกมแบบเป๊ะๆ แต่ก็มีการขยายความในเรื่องต่างๆ เข้ามา ทำให้เนื้อเรื่องที่ดีอยู่แล้ว ดูสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
โดยรวมแล้วการลดทอน/เพิ่มเติมเนื้อหาต่างๆ ในซีรี่ส์ ถือว่าทำออกมาได้ดี แม้จะรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ตรงที่มีการตัดฉากแอคชั่นออกไปพอสมควรก็ตาม โดยเฉพาะช่วงหลังจาก EP 5 ที่ฝูงผู้ติดเชื้อโผล่ขึ้นมาจากใต้พื้นดินแล้ว เราแทบจะไม่ได้เห็นความน่ากลัวของผู้ติดเชื้อในเรื่องอีกเลย
ส่วนสุดท้ายที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือความสัมพันธ์ระหว่างโจเอลและเอลลี ที่เป็นแกนหลักที่สำคัญมากๆ ของ The Last of Us
การที่โจเอลต้องสูญเสียลูกสาวไป ทำให้เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป จนถึงขั้นพยายามฆ่าตัวตาย แต่ก็ทำไม่สำเร็จ ซึ่งนับตั้งแต่นั้นมา โจเอลก็ยังไม่สามารถ Move on จากเรื่องนั้นได้
จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของเขาคือการได้เจอกับเด็กสาวอย่างเอลลี่ ที่อยู่ในวัยเดียวกับลูกสาวของเขาตอนเสียชีวิต ต้องผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน และค่อยๆ รักษาจิตใจของโจเอลให้กลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง
ใน EP สุดท้าย โจเอลได้เล่าเหตุการณ์ในอดีตให้เอลลี่ฟัง และเอลลี่พูดขึ้นมาว่า “เวลาคงช่วยเยียวยาทุกสิ่งมั้ง”
คำตอบของโจเอลคือ “ไม่ใช่เวลาหรอกที่เยียวยา” ก่อนจะมองไปยังเอลลี่ เหมือนจะสื่อว่า เอลลี่นี่แหละที่ช่วยเยียวยาให้กับเขา นับเป็นการคลายปมในใจที่เขาต้องเผชิญกับมันมาตลอด 20 ปี
แต่คล้อยหลังไม่นาน โจเอลกลับพบว่า การที่จะนำภูมิคุ้มกันของเอลลี่มาทำเป็นวัคซีนเพื่อช่วยมนุษยชาตินั้น จำเป็นต้องนำเชื้อในสมองของเอลลี่ออกมา ซึ่งการผ่าตัดเอาเชื้อออกมา จะเป็นการฆ่าเอลลี่ไปด้วย